xs
xsm
sm
md
lg

Yearender 2025: สรุปเหตุการณ์เด่นรอบโลกในปี 2025

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ถือชาร์ตแสดงอัตราภาษีนำเข้าที่จะบังคับใช้กับประเทศคู่ค้าต่างๆ ของสหรัฐฯ ระหว่างการแถลงข่าวที่สวนกุหลาบภายในทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ปี 2025
การหวนคืนสู่เก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมกับนโยบายรีดภาษีที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ตลอดจนสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ เป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุการณ์เด่นที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2025 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป

ต่อไปนี้เป็นการสรุป 10 เหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

1. 'โดนัลด์ ทรัมป์' คืนสู่อำนาจ


นโยบายกีดกันทางการค้า การเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย การยุบภาคส่วนต่างๆ ของรัฐบาลกลาง สหรัฐฯ คือสิ่งที่อเมริกาและโลกต้องเผชิญนับตั้งแต่ ทรัมป์ กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 ในเดือน ม.ค. ไม่เพียงเท่านั้น ผู้นำสายรีพับลิกันรายนี้ยังพุ่งเป้าเล่นงานศัตรูทางการเมือง ส่งกองกำลังป้องกันชาติ (US National Guard) เข้าปฏิบัติการตามเมืองต่างๆ ที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต พยายามข่มขู่สื่อมวลชน และต่อต้านโครงการส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียม

ทรัมป์ ยังได้ริเริ่มความพยายามทางการทูตอย่างกว้างขวางซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
และผลสำรวจพบว่า คนอเมริกันเริ่มไม่พอใจประเด็นทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าครองชีพ ขณะที่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินในศึกเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทำให้พรรครีพับลิกันของ ทรัมป์ อยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบางสำหรับการเลือกตั้งกลางเทอมที่จะมีขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า

2. สงครามภาษี

ทรัมป์ ได้กำหนดภาษีนำเข้าหลายระลอก และเรียกเก็บภาษีจากอุตสาหกรรมทั้งหมดที่ถือว่ามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง ซึ่งจุดชนวนให้เกิดข้อพิพาททางการค้าที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก และเมื่อประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายพิจารณาหรือดำเนินการตอบโต้ การเจรจาที่ยากลำบากก็ได้นำไปสู่ข้อตกลงมากมาย รวมถึงกับสหภาพยุโรปและจีน

ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังคงเจรจากับเม็กซิโกอยู่ แต่การเจรจากับแคนาดาถูกระงับหลังจากที่จังหวัดหนึ่งของแคนาดาให้เงินสนับสนุนโฆษณาที่วิพากษ์วิจารณ์มาตรการภาษีนำเข้าของ ทรัมป์

ภายใต้แรงกดดันที่จะลดค่าครองชีพของชาวอเมริกัน ทรัมป์ จึงตัดสินใจยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าอาหารบางประเภท เช่น กาแฟและเนื้อวัว ในช่วงกลางเดือน พ.ย.

สะพานอังวะ สะพานรถไฟเก่าแก่ข้ามแม่น้ำอิรวดี เชื่อมภาคมัณฑะเลย์กับสะกาย หลังพังถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2025
3. แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในพม่า

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในพม่าเมื่อเดือน มี.ค. ปี 2025 ถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 100 ปีของประเทศ โดยในวันที่ 28 มี.ค. เวลาประมาณ 12:50 น. ตามเวลาท้องถิ่นได้เกิดแผ่นดินไหวซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาไทยระบุขนาด 8.2 แมกนิจูด (ขณะที่ USGS ระบุช่วง 7.7–7.9) ที่ความลึกเพียง 10 กิโลเมตร โดยมีจุดศูนย์กลางบริเวณตอนกลางของพม่าใกล้กับเมืองมัณฑะเลย์และเมืองสะกาย

สาเหตุของแผ่นดินไหวเกิดจากการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่มีพลังมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่อานุภาพของแผ่นดินไหวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในพม่าประมาณ 3,600-5,400 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 11,000 ราย อาคารบ้านเรือน ศาสนสถาน และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพานอังวะ และมหาวิทยาลัยมัณฑะเลย์ ได้รับความเสียหายหนัก และเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอย่างต่อเนื่องกว่า 400 ครั้งในช่วงสัปดาห์แรก

ในส่วนของผลกระทบต่อประเทศไทย ประชาชนในหลายพื้นที่ของไทยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ชัดเจน โดยเฉพาะภาคเหนือและผู้ที่อาศัยบนตึกสูงในกรุงเทพฯ อาคารบางแห่งได้รับความเสียหาย เช่น อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) ในย่านจตุจักรที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและเกิดการพังถล่มลงมาทั้งหลัง

สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 หรืออดีตพระคาร์ดินัล โรเบิร์ต เพรโวสต์ ชาวอเมริกัน ทรงมีพระดำรัสต่อฝูงชนที่มารอเฝ้าที่ระเบียงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นครั้งแรก หลังได้รับเลือกให้เป็นประมุขคริสตจักรคาทอลิกพระองค์ใหม่ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ปี 2025
4 . สันตะปาปาชาวอเมริกัน

โรเบิร์ต ฟรานซิส พรีโวสต์ วัย 69 ปี กลายเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาชาวอเมริกันพระองค์แรกเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ตามหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส

บาทหลวงซึ่งเกิดที่นครชิคาโก และใช้เวลาเกือบ 20 ปีในการทำหน้าที่มิชชันนารีเผยแผ่ศาสนาในเปรู ได้เลือกใช้พระนามว่า เลโอที่ 14 (Leo XIV)

โป๊ปเลโอที่ 14 ทรงดำเนินรอยตามสันตะปาปาชาวอาร์เจนตินาพระองค์ก่อนหน้า โดยมุ่งเน้นไปที่คนยากจน ผู้อพยพ และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังทรงให้ความมั่นใจแก่กลุ่มอนุรักษนิยมโดยตัดความเป็นไปได้ — อย่างน้อยก็ในระยะสั้น — ของการบวชสตรี และการรับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน

5. โศกนาฏกรรมทางการบิน

ปี 2025 ถือเป็นปีที่โลกเผชิญอุบัติเหตุทางการบินร้ายแรงหลายครั้ง และเป็นปีที่มีการสืบสวนด้านความปลอดภัยทางการบินอย่างเข้มข้น

หนึ่งในโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นกับเที่ยวบิน 171 ของสายการบินแอร์อินเดีย โดยเครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลเนอร์ ได้ตกลงใส่หอพักวิทยาลัยแพทย์ไม่นานหลังจากขึ้นบินจากท่าอากาศยานเมืองอาห์เมดาบัดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. จากจำนวนผู้โดยสาร 242 คนบนเครื่องมีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว และยังมีผู้เสียชีวิตบนพื้นดินอีก 19-33 คน

การชนกันกลางอากาศเหนือแม่น้ำโปโตแมคของเครื่องบินโดยสารภูมิภาคของอเมริกันแอร์ไลน์กับเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กของกองทัพสหรัฐฯ ใกล้สนามบิน เรแกน เนชันแนล เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ส่งผลให้ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 67 คนบนเครื่องบินทั้งสองลำเสียชีวิต และนับเป็นอุบัติเหตุทางอากาศครั้งใหญ่ครั้งแรกของสหรัฐฯ ในรอบ 16 ปี

เที่ยวบิน 4819 ของสายการบินเดลตาแอร์ไลน์ตกกระแทกพื้นและพลิกคว่ำที่สนามบินโทรอนโตเพียร์สัน เมื่อวันที่ 17 ก.พ. แต่ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 80 คนบนเครื่องรอดชีวิตจากการลงจอดแบบคว่ำได้อย่างน่าอัศจรรย์

ในช่วงปลายปี เครือข่ายความปลอดภัยทางการบิน (Aviation Safety Network) ได้บันทึกอุบัติเหตุทางการบินกว่า 150 กรณี ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 คนในปีนี้

ชิ้นส่วนหางของเครื่องบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ของสายการบินแอร์อินเดีย เที่ยวบิน 171 ติดคาอยู่บนอาคารหอพักวิทยาลัยแพทย์ หลังประสบอุบัติเหตุตกใกล้กับสนามบินอาห์เมดาบัด เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ปี 2025
6. การเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน

การกลับมาของ ทรัมป์ ได้กระตุ้นความพยายามยุติสงครามในยูเครน ทว่าความเห็นอกเห็นใจของผู้นำสหรัฐฯ นั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้งระหว่างประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน และประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย

ในเดือน ก.พ. ทรัมป์ตำหนิ เซเลนสกี กลางห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว โดยกล่าวหาว่าเขากำลังเสี่ยงจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 และไม่เคารพประชาชนชาวอเมริกัน

ต่อมาในเดือน ส.ค. ทรัมป์ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกับ ปูติน ที่รัฐอะแลสกา ซึ่งก็ไม่ได้ผลลัพธ์ใดที่เป็นชิ้นเป็นอัน และทำให้วอชิงตันกล่าวหามอสโกว่าไม่จริงจังในการยุติสงคราม

อย่างไรก็ตาม การเจรจาระหว่างประเทศได้เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน พ.ย. โดยอิงตามแผนสันติภาพ 28 ประการของสหรัฐฯ ซึ่งฉบับเริ่มต้นนั้นถูกเคียฟและพันธมิตรยุโรปมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อรัสเซียมากเกินไป และต่อมาฝ่ายยูเครนและยุโรปได้มีการเจรจาต่อรองเพิ่มเติมกับสหรัฐฯ จนเกิดเป็นแผนสันติภาพ 20 ประการ

ขณะเดียวกัน กองกำลังรัสเซียก็ยังคงทยอยรุกคืบยึดดินแดนฝั่งตะวันออกของยูเครนได้อย่างต่อเนื่อง และในเดือน ธ.ค. เซเลนสกี ได้ประกาศละทิ้งเป้าหมายนำยูเครนเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เพื่อแลกกับหลักประกันความมั่นคงที่จะได้รับจากสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรป

ฉากการปะทะคารมระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กับประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ปี 2025
7. ข้อตกลงหยุดยิงในกาซา

แรงกดดันจากสหรัฐฯ นำไปสู่การทำข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส หลังสงครามเปิดฉากขึ้นในฉนวนกาซาตั้งแต่เดือน ต.ค. ปี 2023

การหยุดยิงช่วยให้ตัวประกันที่รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายได้กลับบ้าน ศพของตัวประกันที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกส่งกลับไปยังอิสราเอล โดยแลกกับการปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์ และยังเปิดทางไปสู่การลำเลียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในฉนวนกาซามากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชากรกว่า 2 ล้านคนก็ตาม

กระนั้นก็ดี การเจรจาในขั้นตอนต่อไปตามแผนสันติภาพของ ทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลดอาวุธกลุ่มฮามาส ยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดในภูมิภาคก็ยังคงมีอยู่ โดยอิสราเอลยังคงโจมตีฐานที่มั่นของฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนอย่างต่อเนื่อง และยังโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านในช่วงสงคราม 12 วันเมื่อเดือน มิ.ย. และต่อมาในเดือน ก.ย. ก็ถึงขั้นยิงโจมตีสำนักงานเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาสในกาตาร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ชาวปาเลสไตน์ซึ่งพลัดถิ่นฐานจากสงครามออกเดินเท้าจากพื้นที่ตอนใต้ของกาซากลับขึ้นไปยังตอนเหนือ หลังมีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวระหว่างฮามาสและอิสราเอล เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ปี 2025
8. เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา

เหตุการณ์ปะทะในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงปี 2025 เป็นความขัดแย้งรุนแรงบริเวณชายแดนที่เกิดจากการอ้างสิทธิในพื้นที่พิพาท และการปะทะย่อยๆ ที่ลุกลามไปสู่การใช้กำลังทางทหาร เกิดการยิงตอบโต้ด้วยปืนใหญ่ รถถัง และโดรน ส่งผลให้มีทหารและพลเรือนบาดเจ็บ ประชาชนอพยพ และเกิดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ไทยอ้างสิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเน้นเป้าหมายทางทหาร และกัมพูชากล่าวหาว่าไทยโจมตีพลเรือน

สาเหตุหลักมาจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดน โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ช่องอานม้า ฝ่ายกัมพูชาถูกกล่าวหาว่าใช้ยุทธวิธีต่างๆ เช่น นำพลเรือนเข้าพื้นที่ ลักลอบวางทุ่นระเบิด และการใช้กำลังโจมตี ขณะที่ไทยยืนยันสิทธิในการป้องกันตนเอง (Right of Self-Defense) และตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและกำลังพล

ในเดือน ก.ค. กัมพูชาเริ่มยิงปืนใหญ่เข้าใส่เป้าหมายพลเรือนไทย เช่น โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน และโรงเรียน ทำให้ไทยตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบิน F-16 ต่อมาในเดือน ธ.ค. เกิดการปะทะรุนแรงต่อเนื่องหลายจุด มีการใช้โดรนและอาวุธหนัก โดยฝ่ายไทยสามารถยึดคืนพื้นที่สำคัญได้ เช่น ช่องอานม้าและเนิน 225 เป็นต้น

มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนได้เข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ยื่นมือเข้าแทรกแซงจนทั้งสองฝ่ายมีการลงนามปฏิญญาสันติภาพที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 26 ต.ค. ทว่าต่อมาการสู้รบได้ปะทุขึ้นอีก ก่อนที่จะมีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้งในวันที่ 27ธ.ค.

นักศึกษาชาวมาดากัสการ์ถือธงโจรสลัดกระโหลกไขว้จากการ์ตูนมังงะเรื่อง One Piece ระหว่างออกมาชุมนุมเรียกร้องการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ และขับไล่ประธานาธิบดี อันดรี ราโจเอลินา ที่กรุงอันตานานาริโว เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ปี 2025
9. การประท้วง Gen Z

การเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจรัฐครั้งใหญ่ที่นำโดยคนหนุ่มสาวอายุต่ำกว่า 30 ปี เกิดขึ้นทั่วเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา เพื่อต่อสู้กับมาตรฐานการครองชีพที่ต่ำ นโยบายเซ็นเซอร์สื่อสังคมออนไลน์ และการทุจริตของชนชั้นนำ คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จในระดับที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่นในโมร็อกโกซึ่งรัฐบาลสัญญาว่าจะปฏิรูปสังคม แต่ผู้ประท้วงกว่า 2,000 คนก็ต้องเผชิญกับการถูกดำเนินคดี

ในประเทศอื่นๆ การประท้วงได้เปลี่ยนไปเป็นการท้าทายอำนาจในวงกว้างหลังจากที่ถูกปราบปรามอย่างรุนแรง เคพี ชาร์มา โอลิ นายกรัฐมนตรีลัทธิเหมาของเนปาล และ แอนดรี ราโจเอลินา ประธานาธิบดีแห่งมาดากัสการ์ ถูกบีบบังคับให้ลงจากตำแหน่งจากปรากฏการณ์ลุกฮือนี้

ขณะเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าธงโจรสลัดจากการ์ตูนมังงะเรื่อง “วันพีซ” (รูปหัวกะโหลกไขว้สวมหมวกฟาง) กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ผู้ประท้วงหนุ่มสาวมักนำมาใช้ และแพร่หลายในโซเชียลมีเดียจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับการกดขี่ในหลายทวีป

10. สหรัฐฯ ปิดล้อมเวเนซุเอลา

สหรัฐฯ ได้เริ่มส่งกำลังทหารจำนวนมากไปประจำการนอกชายฝั่งละตินอเมริกาตั้งแต่เดือน ส.ค. โดยอ้างว่าต้องการปราบปรามและสกัดกั้นการขนยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีเรือที่เกิดขึ้นมากกว่า 20 ครั้งในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิกส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปหลายสิบคน

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยืนยันว่าการโจมตีดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย และปฏิเสธข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่สหประชาชาติที่ว่าเป็นการ “กระทำการนอกกระบวนการยุติธรรม”

ปฏิบัติการนี้ยังเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเวเนซุเอลาซึ่งมองว่าการโจมตีเหล่านี้เป็นข้ออ้างเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร และยึดครองแหล่งน้ำมันของประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น