xs
xsm
sm
md
lg

"โจ๊ก" โยนปาบอดีตลูกน้องคดีสินบน "ทอง 246 บาท" ผงะ "ข้อมูลลับ" แฉจ่าย 15 ล้าน วิ่งตุลาการพลิกคดีไล่ออก! ** เพราะ“มีส้ม ไม่มีเทา”พรรคปชน. รีบตัดหาง “แบงค์ บุญฤทธิ์” แล้วตีมึนเดินหน้าต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ข่าวปนคน คนปนข่าว



++ "โจ๊ก" โยนปาบอดีตลูกน้องคดีสินบน "ทอง 246 บาท" ผงะ "ข้อมูลลับ" แฉจ่าย 15 ล้าน วิ่งตุลาการพลิกคดีไล่ออก!

"โจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. เคลื่อนไหว กรณีถูกอดีตลูกน้องคนสนิท "พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย" ให้การได้รับคำสั่งจาก"โจ๊ก"ให้นำทองทองคำแท่งจำนวน 246 บาทไปมอบให้ "เอกวิทย์ วัชชวัลคุ" กรรมการป.ป.ช.เพื่อวิ่งเต้นคดีจนนำไปสู่การขยายผลตรวจค้นและพบหลักฐานแน่นหนา

เรื่องอื้อฉาวร้ายแรงขนาดนี้ เจ้าตัว "โจ๊ก" ยังไงก็คือ"โจ๊ก"

ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อนำเอกสารหลักฐานคดีมามอบให้ แล้วยืนยันให้การปฏิเสธ อ้างว่าไม่เคยเอาของใคร หรือสั่งใครให้เอาทองไปให้ใคร

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล
แม้ว่าจะมีหลักฐานเป็นคลิปวิดิโอที่โจ๊กสั่งให้ “พ.ต.อ.ภาคภูมิ” ถ่ายไว้ก็ตาม “โจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” อ้างต่อว่า การสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน อาจจะไม่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีการแจ้งข้อหากับผู้ที่มากล่าวหา ตามคำที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนสั่งให้นำทองคำไปมอบให้ผู้อื่นนั้น เพราะตัวของผู้กล่าวหาก็จะต้องมีความผิด แต่กลับมีการดำเนินคดีเฉพาะตนเท่านั้น

ทุกวันนี้ที่ตัวเองเดือดร้อน ก็เพราะมาจากเรื่องลูกน้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องกับ “เว็บพนันมินนี่” มีการไปยืมเงิน-โอนเงิน แล้วก็ทำใหัเดือดร้อนมาถึงตน ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่องไม่มีใครถูกให้ออกจากราชการ นอกจากตัวเองเพียงคนเดียว ส่วนลูกน้องแค่ถูกสั่งพักราชการเท่านั้น ทั้งที่ตนเองนั้นถือเป็นแถว 3 แถว 4 ไม่ได้เป็นตัวการ

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องก็ไม่ได้ติดต่อกับลูกน้องคนนี้มาปีกว่าแล้ว ซึ่งก็ทราบว่าเขาไม่พอใจ มีอะไรโกรธเคือง เชื่อว่าน่าจะมาจากกรณีที่ตนไปไลฟ์สดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง มินนี่กับตัวเขา จนทำให้เขาไม่พอใจ เพราะทำให้เรื่องไปกระทบถึงครอบครัวของเขาด้วย

พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย
นอกจากนี้ "โจ๊ก" ยังพูดด้วยว่า ลูกน้องตัวเองอาจจะไปฟังคำพูดของใครหรือไปหลงผิดอะไรมา หรือไม่ ว่าจะมีคนพากลับเข้ารับราชการ

อยากถามลูกน้องกลับว่า มั่นใจหรือ ว่าจะกลับเข้ารับราชการได้อีก ถึงทำแบบนี้ มั่นใจหรือว่าจะไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ หรือถูกทิ้งเอาไว้กลางทาง

“พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ยกตัวเองว่า ที่ผ่านมาวงการตำรวจรู้ดีว่าตัวเองเลี้ยงลูกน้องดีมาตลอด ต้องยอมรับว่าเสียใจ แต่ก็ไม่ตำหนิใคร เพราะเข้าใจว่าทุกคนต้องเอาตัวรอด ส่วนจะแฉอะไรอีกก็ตามสบาย เพราะจะสู้ตามกระบวนการกฎหมายต่อไป

แหม..ฟังแล้วก็ต้องบอกว่า ไม่ผิดคาดว่า "โจ๊ก" จะมาฟอร์มนี้ เพราะทุกครั้งที่มีเรื่องฉาวนายตำรวจผู้นี้จะยกอ้าง "ข้อปฏิบัติ" ข่มพนักงานสอบสวนและไล่ฟ้องศัตรู และโทษคนใกล้ชิดทำตัวเองเดือดร้อน!

เอกวิทย์ วัชชวัลคุ
วันเดียวกัน "เอกวิทย์ วัชชวัลคุ" กรรมการ ป.ป.ช.ได้มอบอำนาจให้ทีมทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ “พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย” ในข้อหาแจ้งความเท็จและกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นรับโทษทางอาญา

ทนายยืนยันว่า "ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง" เอกวิทย์ ในฐานะกรรมการ ป.ป.ช. มีการแสดงบัญชีทรัพย์สินอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน อีกทั้งกระบวนการคัดเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งใน ป.ป.ช. นั้นมีความเข้มงวดและผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด

พร้อมทั้งระบุว่า “เอกวิทย์”ไม่เคยมีทองคำแท่งตามที่ถูกกล่าวหา ไม่เคยเดินทางไปที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ และที่สำคัญคือไม่เคยรู้จักกับ “พ.ต.อ.ภาคภูมิ” เป็นการส่วนตัว เคยพบกันเพียงครั้งเดียวในขั้นตอนการไต่สวนตามหน้าที่เท่านั้น

แน่นอนว่า ฝากฝั่งเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนย่อมต้องมีหลักฐานถึงขั้น"ข้อมูลลับ" ของ โจ๊กและที่ป.ป.ช.อีกแน่

แว่วว่า ข้อมูลลับที่ พนักงานสอบสวนได้มาล่าสุด ยังมีชื่อเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.คนอื่นๆ ที่ช่วยเหลือ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ในทำนอง "แบ่งงานกันทำ" ทั้งช่วยแต่งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จและอื่นๆ

มิหนำซ้ำ พนักงานสอบสวนต้องผงะถึงพฤติการณ์ของ "โจ๊ก" ซึ่งถ้าจะยื่นฟ้องร้องใครก็จะเจาะจงไปที่ศาลแห่งหนึ่งที่จะมี "ทนาย อ." ใช้เส้นสายคอนเนกชัน "ปั้นพยานเท็จ" ก่อนไปขึ้นศาล ก็จะพาพยานไปซักซ้อมคําให้การที่สํานักงานในอาคารรัชดาวันที่ใช้เป็น "วอร์รูม" โดยคนที่ทำหน้าที่ ซักซ้อมพยานเท็จนอกจากทนาย อ. แล้ว ยังมี "ทนายตั้ม" ษิทรา เบี้ยบังเกิด

มาถึงความพีก ของข้อมูลลับนี้ ยังทำให้พนักงานสอบสวนอึ้งหนักพฤติการณ์ร้ายแรง ไม่แพ้การติดสินบนกรรมการป.ป.ช. คือ “ข้อครหา” ที่ศาลปกครองมีมติ 5-0 บางกระแสก็ว่า 3-2 ให้ยกเลิกคำสั่งไล่ออกจากราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติของ "โจ๊ก" แต่ประธานศาลปกครอง ยกเลิกมติดังกล่าวแล้วสั่งให้องค์คณะใหญ่พิจารณาแทน

นี่เป็นเหตุให้ “โจ๊ก” ถึงกับยื่นฟ้องประธานศาลปกครองสูงสุด กับประธานแผนกคดีละเมิดฯ ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
เบื้องหลังมติ 5:0 ดังกล่าว เป็นพลังของทองคำแท่ง และเงินสด รวม 15 ล้านบาท! โดย "คนหิ้ว" ก็คือ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย ลูกน้องคนสนิทของโจ๊ก

เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 67 ซึ่งศาลปกครองกำลังจัดสัมมนา ที่นั่น “พ.ต.อ.ภาคภูมิ” ส่งมอบสินบน ผ่านนักวิ่งเต้นที่มาจากภาคใต้ ประกอบด้วยเงินสด 5 ล้านบาท และทองคำแท่ง 5 ล้านบาท

ต่อมา มีการเติมสินบนทองคำแท่ง อีก 5 ล้านบาท ไม่นานจากนั้น ก็มีองค์คณะเล็กของศาลปกครอง ลงมติให้ “บิ๊กโจ๊ก” เป็นฝ่ายชนะ แต่เรื่องนี้ส่งกลิ่นหึ่งในศาลปกครอง ประธานศาลปกครองสูงสุด จึงยกเลิกมติดังกล่าว แล้วให้องค์คณะใหญ่พิจารณาแทน

งานนี้ว่ากันว่า น่าจะกลายเป็นคดีเอาผิด "โจ๊ก" อีกคดีในเร็วๆ นี้

บุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์
++ เพราะ “มีส้ม ไม่มีเทา” พรรค ปชน. รีบตัดหาง “แบงค์ บุญฤทธิ์” แล้วตีมึนเดินหน้าต่อ

กระแสเทามาแรง จน“หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อุตสาห์เลี่ยงการชูประด็น แก้ ม. 112 ในการรณรงค์หาเสียง แล้วมาเน้น “มีส้ม ไม่มีเทา”แทน

บอกถึงขนาดว่า ถ้าได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคที่มาร่วมต้องไม่เทา โดยเฉพาะรัฐมนตรีใน “รัฐบาลนายกฯเท้ง” ต้องไม่มีเทาเด็ดขาด

แต่คล้อยหลังส่งผู้สมัครไปได้แค่ 2 วัน ตำรวจจากกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ก็บุกเข้ารวบตัว “บุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์” หรือ “แบงค์” ผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ เขต 33 (เขตบางพลัด-บางกอกน้อย) ของพรรคประชาชน ตามหมายจับ

ข้อหาเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด และการฟอกเงิน ที่มีเงินหมุนเวียนกว่า 2 หมื่นล้านบาท!!

ทำเอาบรรดาแกนนำพรรคส้ม วิ่งกันพล่าน โพสต์โซเชียลฯแก้ตัวกันรัวๆ ขอโทษขอโพยประชาชน ว่าตรวจสอบประวัติดีแล้ว แต่เพิ่งมามีหมายจับในภายหลัง เลยไม่รู้

ว่าแล้วก็ประกาศตัดหาง “แบงค์ บุญฤทธิ์” เพื่อรักษาสโลแกน “มีส้ม ไม่มีเทา”

สำหรับ “แบงค์ บุญฤทธิ์” ได้ลงสมัคร สส.กรุงเทพฯ เขต 33 แทน “ก้อง” พงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ สส.เจ้าของพื้นที่เดิม ที่ถูก“โปลิตบูโร” ของพรรคคัดออก ด้วยเหตผลคลาสสิก “ไม่ลงพื้นที่”

“แบงค์”เป็นเด็กเตรียมอุดมฯ ไปต่อคณะรัฐศาสตร์ รามคำแหง นอกจากนี้ยังได้รับประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาการประเมินราคาทรัพย์สิน จาก ม.ธรรมศาสตร์ และ จบปริญญาโท คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์

อาจจะเป็นเพราะมีรุ่นพี่ธรรมศาตร์ อยู่ในพรรคหลายคน “แบงค์” จึงมีโอกาสเข้ามาทำงานการเมืองกับพรรคส้ม และได้เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สส.ของพรรค ซึ่งก็คือ “สส.ก้อง” พงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ นั่นเอง

“ก้อง” พงศ์พันธ์ พูดถึง “แบงค์” ว่าเคยเป็นลูกน้องเก่า ทำงานการเมืองร่วมกันมาตั้งแต่ ปี 54 พอตนเองได้เป็น สส. ก็ตั้ง “แบงค์” เป็นผู้ช่วย รวมงานกับทีมบางพลัด

ต่อมา “แบงค์”ได้แจ้งขอลาออก ขณะที่ “ทีมบางพลัด” ของพรรค ก็หาเรื่อง พยายามมาโจมตีตนเอง โดยเฉพาะในช่วงก่อนยุบสภา

จนเมื่อมีการเปิดตัว ว่าที่ผู้สมัคร สส. กรุงเทพ พรรคประชาชน เขต 33 จึงรู้ชัดว่าตนเองไม่ได้ไปต่อ และคนที่มาแทนคือ “แบงค์” ลูกน้องเก่า นั่นเอง

เมื่อวันนี้ “แบงค์”เจอปัญหา ทางพรรคก็เตรียมให้ลาออกจากสมาชิกพรรค แล้วส่ง “เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร” ซึ่งเคยประกาศวางมือไปแล้ว แต่ยังเป็นสมาชิกพรรค เข้ามาเสียบแทน

แต่กรณีนี้ ยังมีข้อถกเถียงในแง่มุมของกฎหมายว่า จะส่งคนเข้ามาสมัครแทนได้หรือไม่

เพราะ มาตรา 50 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส. ไม่อนุญาตให้มีการถอนการสมัคร ยกเว้น 3 กรณี คือ ตาย ขาดคุณสมบัติ และ มีลักษณะต้องห้าม

การถูกตำรวจจับกุม ยังไม่เข้าข่ายลักษณะต้องห้าม เพราะยังไม่ใช่คำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกของศาล จึงไม่เป็นเหตุให้ถอนตัว

จึงเหลือช่องทางลาออก หรือถูกพรรคลงมติขับออก แล้วนำหลักฐานมาแสดงต่อกกต. เพื่อใช้ช่องทาง “ขาดคุณสมบัติ” จากนั้น ต้องมีกระบวนการทำไพมารีโหวตสำหรับผู้สมัครใหม่ และต้องมาสมัคร ก่อน 16.30 น. วันที่ 31 ธ.ค.69 ซึ่งเป็นวันเปิดรับสมัครวันสุดท้าย

เมื่อปัญหา “เปลี่ยนผู้สมัคร” ยังเป็นข้อถกเถียงว่า ทำได้ หรือไม่ได้ ต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้วการสมัครจะสำเร็จหรือไม่

แต่เชื่อเถอะ ถ้า กกต.รับสมัคร ก็จะมีผู้สมัครสส.ใน เขต 33 ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไปร้องเอาผิด กกต. ว่าการรับสมัคร เป็นไปโดยมิชอบ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น