xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐกิจไทยปี “ม้าไฟ” ยังฝันร้าย จ้างงานหด เงินเดือนลด หนี้ครัวเรือนพุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



เศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในอาการ “ฝันร้าย” ลากยาวไปถึงปีหน้า 2569 โดยที่ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวจากสารพัดปัจจัยลบที่เป็นมรสุมรุมเร้าเข้ามาทุกทิศทาง

สัญญาณล่าสุดจากตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่บ่งชี้ให้เห็นถึงเศรษฐกิจฐานรากกำลังสั่นสะเทือนอย่างหนัก นั่นคือ ข้อมูลธุรกรรมการโอนเงินรายรายย่อยในหมวดค่าจ้าง เงินเดือน บำเหน็จ และบำนาญ ทั้ง “จำนวนรายการโอน” และ “มูลค่าเงินโอน” ที่ลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุด ไตรมาส 3/2568 ยอดโอนเงินเดือน เหลือ 3.76 ล้านรายการ และมูลค่าเงินโอนอยู่ที่ 120,130 ล้านบาท เมื่อเทียบรายไตรมาส โดยลดลง 8.4% และ 12.3% ตามลำดับ

ตัวเลขดังกล่าว สะท้อนว่าแรงงานในระบบเงินเดือนและรายได้ต่อหัวเริ่มชะลอลงพร้อมกัน เป็นสัญญาณเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจฐานรากที่น่ากังวลสำหรับปี 2569 เพราะส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อ ความเชื่อมั่น และภาระหนี้สินครัวเรือน ท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยรายได้แรงงานที่แท้จริงกำลังอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ นับเป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจฐานรากและกำลังซื้อครัวเรือนในระยะต่อไป

ขณะเดียวกัน ยังมีการคาดการณ์ว่าในปี 2569 นายจ้างจะระมัดระวังในการปรับขึ้นเงินเดือนที่คาดขึ้นเฉลี่ย 3-5% และโบนัส 1.5-2 เดือน เพื่อรักษาสภาพคล่อง ซึ่งจะยิ่งกดดันกำลังซื้อและหนี้ครัวเรือนที่สูงอยู่แล้วขึ้นไปอีก

สอดรับกับที่นายเกรียงไกร เธียรนุกูลประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 60% จากเดิมที่มาตรฐานของกำลังการผลิตจะอยู่ที่ประมาณ 70-80% ซึ่งกำลังการผลิตที่ลดลงเชื่อมโยงกับการจ่ายเงินเดือนภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง สวนทางกับตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้นที่แท้จริงแล้วมาจากการสวมสิทธิ์ และการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามาตีตลาด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้โรงงานผู้ผลิตรายย่อยหรือเอสเอ็มอีของไทยต้องปิดตัวไปเป็นจำนวนมาก ผลกระทบดังกล่าวเหล่านี้ ส่งผลทำให้การจ่ายเงินเดือน การขึ้นเงินเดือน การจ้างงาน การให้โบนัสลดลงอย่างชัดเจน บางโรงงานถึงขั้นต้องลดกะทำงาน ลดการจ้างงาน ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก

ด้านนายธนิต โสรัตน์รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (ECONTHAI) เปิดเผยสถานการณ์การจ้างงาน ในปี 2569 ว่า เศรษฐกิจยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เช่น การบริโภคในประเทศปีนี้โตแค่ 1.7% และปีหน้าอาจจะต่ำกว่าเดิม ทำให้ผู้ประกอบการปรับขึ้นเงินเดือนอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาการจ้างงานไว้ โดยการขึ้นเงินเดือนทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 3% แต่ไม่เกิน 5% โดยปีหน้านายจ้างจะเน้นระวังความไม่แน่นอน รักษาสภาพคล่อง และการหมุนเวียนงานต่ำ ลูกจ้างไม่ค่อยเปลี่ยนงาน เนื่องจากเข้าใจสถานการณ์ว่าทุกที่ก็ลำบากเหมือนกัน การมีงานทำจึงดีกว่าตกงาน

ส่วนปี 2569 นายธนิต ประเมินว่า ภาพรวมตลาดแรงงานสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่คาดสภาพทรงตัว จากผลกระทบหลายด้าน อีกทั้งการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้การค้ากับกัมพูชาผ่านชายแดนหายไปถึง 150,000 ล้านบาท ส่วนการท่องเที่ยวก็ไม่ขยายตัวตามที่คาดไว้ เพราะเศรษฐกิจโลกและปัญหาความเชื่อมั่นจากสงครามชายแดน

สอดคล้องกับ *น.ส.ชญาน์นันท์ ติยตระการชัยสมาชิกวุฒิสภา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง วุฒิสภา ที่มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เคยประมาณการไว้ว่าจะเติบโตได้ราว 2.2 – 2.5 เปอร์เซ็นต์ คงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จากปัจจัยการขึ้นภาษีทรัมป์ น้ำท่วมหาดใหญ่ ซึ่งหอการค้าไทยประเมินตัวเลขเสียหายไว้ที่ 4 หมื่นล้านบาท หรือ 0.22 ของจีดีพี และการสู้รบตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ที่กระทบส่งออกจาก 9 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 9 ล้านบาท ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และล่าสุดกลายเป็นศูนย์ไปแล้ว

เลขานุการคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง วุฒิสภา ประเมินว่า ปัญหาไทย-กัมพูชา เฉพาะด้านท่องเที่ยว เสียหายเดือนละ 1.4 หมื่นล้านบาท หากการปัญหายังยืดเยื้อ จะทำให้ตัวเลขความเสียหายพุ่งสูงขึ้นถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีไทย

รายงาน Economic and Social Externalities of Interstate Conflict ของสถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ ประเมินผลกระทบจากการปะทะไทย–กัมพูชา ในปี 2568 อย่างเป็นระบบ ว่า ไทยกำลังสูญเสียทางเศรษฐกิจเฉลี่ย กว่า 24,000 ล้านบาทต่อเดือน และหากสถานการณ์ยืดเยื้อ ตัวเลขอาจพุ่งถึง กว่า 240,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี ความสูญเสียเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่ในบัญชีงบประมาณของรัฐ แต่กระจายไปยังร้านค้า แรงงาน เกษตรกร ผู้ประกอบการ และชุมชนชายแดนทั้งระบบ โดยตัวเลขการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ในปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนอยู่ที่ราว 174,500 ล้านบาท และเติบโตปีละ 8% ลดลงแทบเป็นศูนย์ และธุรกิจขนาดเล็กตามแนวชายแดนสูญเสียรายได้รวมราว 500 ล้านบาทต่อวัน หรือ 15,000 ล้านบาทต่อเดือน

นอกจากนั้น แรงงานกัมพูชาที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจไทยหลักล้านคน ซึ่งเป็นกำลังหลักในภาคก่อสร้าง เกษตรกรรม อุตสาหกรรมแปรรูป และบริการ ทำให้ไทยสูญเสียศักยภาพการผลิตคิดเป็นมูลค่าเกือบสองหมื่นล้านบาทต่อเดือน การใช้แรงงานทดแทนจากชาติอื่นนำไปสู่ต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น 12-20% และมีปัญหาทักษะในการทำงาน ขณะที่การโอนเงินกลับของแรงงานกัมพูชามูลค่า 40,000-65,000 ล้านบาทต่อปี หายไป รายได้นี้กระทบต่อครัวเรือนกัมพูชาและย้อนกลับกระทบกำลังซื้อตลาดชายแดนกับผู้ค้าฝั่งไทยที่กลายเป็นศูนย์ในเวลานี้

ส่วนการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบเชิงจิตวิทยา หลังการปะทะในเดือนกรกฎาคม 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดลดลง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยทุกการลดลง 1% หมายถึงรายได้ที่หายไปกว่า 1,300 ล้านบาทต่อเดือน และ 7 จังหวัดชายแดน มีรายได้จากการท่องเที่ยวลดลงอย่างชัดเจน

ที่สำคัญคือผลกระทบด้านซัพพลายเชนและการลงทุน การปิดพรมแดนบังคับให้ธุรกิจต้องเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ทางทะเลหรืออากาศ ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ รายงานประเมินว่าต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ กว่า 700 ล้านบาทต่อเดือน และยังไม่รวมต้นทุนด้านเวลา ความล่าช้า และความเสี่ยงทางสัญญา ซึ่งกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์“Thailand Plus One”ที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและขยายไปประเทศเพื่อนบ้าน นักลงทุนญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ เริ่มชะลอหรือทบทวนการลงทุน เนื่องจากเส้นทางที่เคยแน่นอนกลายเป็นความเสี่ยง

ปัจจัยลบหลายเด้งดังกล่าวข้างต้น ทำให้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ โดย ธปท. คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ หรือจีดีพีไทยในช่วงปี 2568–2570 จะขยายตัวเพียง 2.2% , 1.5% และ 2.3% ตามลำดับ สะท้อนความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะเติบโตต่ำกว่า 2% อยู่ที่ประมาณ 1.5 - 1.7 ซึ่งนับเป็นระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยแรงกดดันดังกล่าวมีรากฐานจากภาวะเศรษฐกิจปี 2568


ด้านสภาพัฒน์ หรือ สศช. คาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจปีหน้า อยู่ที่ 1.2% - 2.2% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ ร้อยละ 1.7 โดยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังเป็นแรงสนับสนุนหลัก คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน ในปี 2569 โดยมีความเสี่ยงและข้อจำกัดจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หนี้สินครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ปัญหาคุณภาพสินเชื่อ หนี้สาธารณะที่อาจเข้าใกล้ร้อยละ 70 ของ GDP ในช่วงปี 2569-2572 และความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังเลือกตั้ง

กระทรวงการคลัง คาดว่าปี 2569 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวชะลอลงที่ 2.0% ต่อปี และจากการยุบสภา ทำให้มีข้อจำกัดที่กระบวนการจัดทำงบประมาณปี 2570 ล่าช้า

ฟากฝั่งหน่วยวิจัยเศรษฐกิจสถาบันการเงิน อาทิ SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวเพียง 1.5% ลดลงจาก 2% ในปี 2568 ซึ่งนับว่าต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงวิกฤต)

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะอยู่ที่ 1.6% ชะลอลงจากปีก่อนที่ราว 2%

เช่นเดียวกับศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2569 ที่ 1.6% เทียบกับที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.0% ในปี 2568 จากอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศที่ชะลอลง ส่งออกสินค้าของไทยในปี 2569 คาดว่าจะหดตัวส่งผลทำให้แรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ขณะที่การบริโภคของครัวเรือนได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง

ทางด้านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ขยายตัวอยู่ในกรอบ 1.6-2.0% ส่งออกอยู่ในกรอบติดลบ 1.5-0.5% เงินเฟ้ออยู่ในกรอบ 0.2-0.7% โดยปี 2568 การขยายตัวของ GDP ไทยอยู่ในกรอบ 2% ส่งออกขยายตัว 10% เงินเฟ้อ 0.0%

สำหรับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2569 อาจเหลือแค่ 1.7% เป็นการเติบโตแบบต่ำกว่าศักยภาพ

นายเมธัส รัตนซ้อนหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้คาดการณ์ว่า ปี 2569 เศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบาง และประเมินว่าจะเป็น “ปีม้าไฟ” ที่ยังไม่พ้นจากปากเหว โดยคาดว่าทั้งปีจะเติบโตเพียง 1.6% ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำกว่าศักยภาพมาก โดยมองครึ่งปีแรกยังคงอ่อนแรง ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในครึ่งหลัง

แรงกดดันสำคัญมาจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่จะมีผลเต็มปี ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความขัดแย้งชายแดน ตลอดจนภาคการผลิตที่อ่อนแอและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันจากการขาดการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ขณะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเท่าระดับก่อนโควิด สวนทางกับคู่แข่งคนสำคัญอย่างญี่ปุ่น และเวียดนาม ทำให้เครื่องยนต์หลักทั้งสองอย่างการท่องเที่ยวและการส่งออกแผ่วลงจนไม่สามารถจะเป็นแรงส่งที่สำคัญได้เหมือนในอดีต

ขณะเดียวกัน แรงขับเคลื่อนจากภายในก็เผชิญข้อจำกัดจากภาระหนี้สินต่อจีดีพีที่สูง ทั้งหนี้ครัวเรือนที่แม้จะลดลงต่อเนื่องแต่ยังสูงเกือบ 90% ของจีดีพี และหนี้สาธารณะที่ใกล้ชนเพดาน 70% ของจีดีพีแล้ว ทำให้การบริโภคภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐเผชิญกับข้อจำกัด และมีแนวโน้มชะลอลงจากปีนี้

หากไม่นับปัจจัยลบจากน้ำท่วมหาดใหญ่และการปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่มาในโค้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลสะเทือนไปถึงเศรษฐกิจปีหน้า กล่าวโดยสรุปแล้วตัวแปรหลักที่เป็นปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัดหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ ยังคงเป็นปัจจัยสงครามการค้าและกำแพงภาษีของทรัมป์ ที่จะเริ่มส่งผลกดดันภาคส่งออกของไทยอย่างหนักในปี 2569 มิหนำซ้ำยังมี “ค่าบาท” ที่แข็งขึ้นเป็นประวัติการณ์

นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยทางการเมืองที่เป็นรอยต่อช่วงเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนภาครัฐ ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังเป็นตัวฉุดการบริโภคภายในประเทศ และเอสเอ็มอียังมีปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อ ขณะที่สินค้าราคาถูกทะลักเข้ามาตีตลาดภายในประเทศ แม้การท่องเที่ยวจะยังเป็นแรงหนุนสำคัญแต่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลงยังไม่กลับมาเหมือนก่อนหน้าโควิด

คงต้องรอลุ้นกันไปว่ารัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้งจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ทำให้ชีวิตประชาชนคนไทยอยู่ดีกินดีขึ้นกี่โมง?
กำลังโหลดความคิดเห็น