xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์เสียท่าแล้ว! การ‘รับประกันความมั่นคงยูเครน’ คือช่องทางที่สหรัฐฯจะถูกลากเข้าไปเปิดศึกรัสเซีย และแผ้วถางทางสู่สงครามโลกครั้งที่ 3

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


ผู้มีส่วนร่วมในการประชุมเจรจากันที่กรุงเบอร์ลิน, เยอรมนี ซึ่งทางฝ่ายอเมริกันยื่นข้อเสนอว่าพร้อมรับประกันความมั่นคงของยูเครนที่มีเงื่อนไขแบบมาตรา 5 สนธิสัญญานาโต้ด้วย ถ่ายภาพหมู่กันหลังเสร็จสิ้นการประชุมวันที่สองซึ่งเป็นวันสุดท้ายในวันที่ 15 ธันวาคม 2025  ทั้งนี้บุคคลซึ่งมีบทบาทสำคัญมากกว่าเพื่อน ย่อมต้องเป็น โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน (แถวล่างสุด ที่ 4 จากขวา)  และผู้เจรจาของสหรัฐฯ 2 คน ได้แก่ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ (แถวล่างสุด ที่ 3 จากขวา) กับ จาเรด คุชเนอร์ บุตรเขยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (แถวล่างสุด ที่2 จากขวา)
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/12/no-article-5-like-security-guarantees-for-ukraine/)

No Article 5-like security guarantees for Ukraine
by Stephen Bryen
17/12/2025

การที่สหรัฐฯไปหลวมตัวรับประกันความมั่นคงของยูเครนซึ่งมีเงื่อนไขผูกพันแบบมาตรา 5 ของสนธิสัญญานาโต้ จะทำให้สงครามของยูเครนกลายเป็นสงครามของอเมริกา อีกทั้งยังเป็นการแผ้วถางทางไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3

แนวความคิดที่เสนอให้สหรัฐฯรับประกันความมั่นคงเพียงฝ่ายเดียวแก่ยูเครน ต้องถือเป็นไอเดียที่น่าตกใจเพราะมันทำให้มีความเสี่ยงที่สหรัฐฯจะเกิดสงครามกับรัสเซียขึ้นมา เนื่องจากมันหมายความว่าสหรัฐฯมีความเต็มใจที่จะเข้าสู่สงครามเพื่อพิทักษ์ป้องกันยูเครน รวมทั้งเป็นการให้ใบอนุญาตแก่ฝ่ายยูเครนที่จะกวนน้ำให้ขุ่นสร้างความลำบากยุ่งยาก และก่อการยุแหย่ขึ้นมา แล้วลากอเมริกาให้เข้าสู่การประจันหน้ากับรัสเซีย

การรับประกันในลักษณะนี้ยังเป็นอันตรายแก่ยุโรป ถ้าหากสหรัฐฯส่งทหารเข้าไปในยูเครน ฝ่ายรัสเซียก็จะโจมตีตอบโต้ และกองกำลังของพวกเขาก็จะไม่เพียงแค่โฟกัสอยู่เฉพาะที่ยูเครนแน่ๆ รัสเซียจะโจมตีที่ตั้งที่มั่นต่างๆ ตลอดทั่วทั้งนาโต้ สงครามโลกครั้งใหม่จะเริ่มต้นขึ้นมา และผลพวงต่อเนื่องที่ติดตามมาในเรื่องความสูญเสียของชีวิตและทรัพย์สินจะทำให้ยูเครนแลดูเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลย

การศึกษาวิจัยทุกๆ ชิ้น (รวมทั้งการทดลองจำลองสถานการณ์จำนวนหนึ่ง) ต่างแสดงให้เห็นว่าสงครามในยุโรปจะเป็นความวิบัติหายนะ สังหารผู้คนเป็นจำนวนล้านๆ และนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วของกองกำลังนาโต้ ทั้งนี้เนื่องจากนาโต้ไม่ได้มีการเตรียมพร้อมเอาเลย เช่นเดียวกับสหรัฐฯในตัวของสหรัฐฯเองก็ไม่มีการเตรียมพร้อมเหมือนกัน

สหรัฐฯไม่มีความสามารถที่จะผลิตอาวุธซึ่งจำเป็นต้องใช้ออกมาอย่างพอเพียง กองทัพอเมริกันในสถานการณ์การสู้รบขัดแย้งกับปรปักษ์ที่มีลำหักลำโค่นทัดเทียมกัน เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้มีการทดสอบใดๆ อย่างสิ้นเชิง นอกจากนั้นแล้ว สงครามในยุโรปย่อมหมายถึงสหรัฐฯจะต้องสนับสนุนกองกำลังที่ถูกส่งออกไปสู้รบนอกประเทศในสถานที่ห่างไกลจากบ้านเกิดเป็นพันเป็นหมื่นกิโลเมตร ท่ามกลางการสู้รบขัดแย้งอันดุเดือดรุนแรงขนาดใหญ่โต

ดินแดนของยุโรปก็อยู่ในสภาพที่ได้รับการดูแลป้องกันอย่างย่ำแย่ กองทัพของชาติต่างๆ ในยุโรปอยู่ในภาวะมีกำลังพลน้อยเกินไป ระบบการป้องกันภัยทางอากาศของยุโรปมีสภาพบอบบางหรือกระทั่งไร้การป้องกันเอาเลย และคลังแสงอาวุธต่างๆ ก็มีขนาดเล็กอย่างน่าสมเพช ยุโรปไม่สามารถแข่งขันเปรียบเทียบได้เอาเลยกับรัสเซีย ซึ่งเครื่องจักรสงครามในเวลานี้อยู่ในสภาพที่แปรไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรมอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

ฟันเฟืองอีกเพียงตัวเดียวที่เหลืออยู่ซึ่งยังไม่ถูกบรรจุให้เข้าที่เข้าทางในเครื่องจักรสงครามของรัสเซีย ก็คือ การประกาศเรียกระดมกำลังทหารอย่างเต็มสูบ ทว่าหากยูเครนได้รับอนุญาตให้เริ่มต้นสงครามโลกขึ้นมาแล้ว รัสเซียก็จะขยายกองทัพของตนขึ้นมาได้อย่างใหญ่โตมโหฬาร

ยังมีฉากทัศน์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้อีก นั่นคือถ้าหากข้อตกลงรับประกันความมั่นคงให้ยูเครนที่ถูกระบุว่าจะบรรจุเนื้อหาแบบมาตรา 5 ของสนธิสัญญานาโต้เข้าไว้ด้วย ได้ถูกประกาศบังคับใช้ขึ้นมาจริงๆ มันก็น่าจะเปิดกว้างให้สหรัฐฯต้องเจอกับการประจันหน้าในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกอีกยุทธบริเวณหนึ่งด้วย เนื่องจากจีนย่อมไม่ลังเลใจที่จะเคลื่อนไหว ถ้าหากสหรัฐฯกำลังถูกตรึงแน่นอยู่ในยูเครนและยุโรป

ความสามารถของอเมริกาในการพิทักษ์คุ้มครองไต้หวันจะต้องหย่อนยานลง เกาหลีเหนือก็อาจถือโอกาสเปิดการโจมตีด้วยเช่นกัน ก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี และสร้างความเสี่ยงให้แก่กองทหารสหรัฐฯซึ่งประจำการอยู่ที่นั่น แม้กระทั่งญี่ปุ่นก็อาจพบว่าตัวเองตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง และสามารถคาดหมายได้ว่าจะประสบความสูญเสียพวกหมู่เกาะทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ หรือกระทั่งมากมายกว่านั้นอีก

เมื่อคุณลองขบคิดพิจารณากันให้ดีๆ ไอเดียของการรับประกันความมั่นคงให้แก่ยูเครนเอาเข้าจริงแล้วก็เป็นเพียงกลอุบายอย่างหนึ่งที่มุ่งขจัดลบล้างความเป็นอิสระในทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาเท่านั้น

นี่คือประเด็นปัญหาเดียวกันเป๊ะกับข้อขัดข้องที่เคยนำไปสู่ความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าของการพิจารณารับรองให้สัตยาบันสนธิสัญญาแวร์ซายส์ปี 1919 (the 1919 Versailles Treaty) ในวุฒิสภาสหรัฐฯ แทนที่รัฐสภาสหรัฐฯจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวในการชี้ขาดว่าสหรัฐฯสมควรเข้าสู่สงครามหรือไม่ สนธิสัญญาแวร์ซายส์กลับมีข้อกำหนดที่เป็นการถ่ายโอนความรับผิดชอบตามรัฐธรรมนูญอเมริกันดังกล่าวนี้ ไปให้แก่องค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations) ซึ่งเพิ่งมีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่ๆ หมาดๆ

ความผูกมัดในลักษณะเดียวกันกับมาตรา 5 ของสนธิสัญญานาโตจ้ ที่สหรัฐฯจะต้องให้แก่ความมั่นคงของยูเครน ก็จะเป็นการริบความรับผิดชอบในการประกาศสงครามออกจากมือของรัฐสภาสหรัฐฯเหมือนกัน

สำหรับตัวมาตรา 5 ของสนธิสัญญานาโต้นั้น ต้องถือว่ามีความแตกต่างออกไปเล็กน้อย กล่าวคือ ถ้าหากนาโต้มีการประกาศใช้อำนาจตามมาตรา 5 ขึ้นมาจริงๆ ก็ยังจะต้องให้พวกรัฐสมาชิกเป็นผู้ตัดสินใจว่าแต่ละประเทศจะดำเนินปฏิบัติการอะไรบ้างในการตอบโต้สิ่งที่นาโต้ระบุว่าเป็นการรุกรานจากภายนอก ทว่าการรับประกันความมั่นคงให้ยูเครนกลับริบเอาความยืดหยุ่นเช่นนี้ และก่อให้เกิดพันธะผูกพันทางกฎหมายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับการที่สหรัฐฯจะต้องเดินหน้าเข้าสู่สงคราม

ถ้าหากนี่คือสิ่งที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นมา และมันก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นเสียด้วย มันก็จะเป็นแนวความคิดชวนสยองที่คุกคามต่อรัฐธรรมนูญของอเมริกา ยิ่งกว่าสนธิสัญญาแวร์ซายส์ซึ่งได้ถูกวุฒิสภาสหรัฐฯสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ปฏิเสธไม่ยอมรับเสียด้วยซ้ำ พวกผู้ทำหน้าที่เจรจาในนามของสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดคือการเจรจากันในกรุงเบอร์ลิน, เยอรมนี นั้น ดูเหมือนเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังเสนออะไรให้แก่ยูเครน และความเสี่ยงที่จะติดตามมาทันทีจากข้อเสนอดังกล่าว

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ คอยยืนยันเสมอมาว่า สงครามยูเครนนั้นไม่ใช่สงครามของเขา และเขาต้องการที่จะถอยห่างออกมาจากการสู้รบขัดแย้งนี้ (ถึงแม้ว่าหากพิจารณากันด้วยความซื่อตรงแล้ว คำพูดนี้ไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริงหรอก)

การรับประกันความมั่นคงด้วยข้อผูกพันแบบมาตรา 5 ของสนธิสัญญานาโต้ ทำให้สงครามยูเครนกลายเป็นสงครามของอเมริกัน มันไม่น่าประหลาดใจอะไรเลยว่านี่แหละคือเป้าหมายของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวคือ การขับดันให้ฝ่ายอเมริกันเข้ามาร่วมอยู่ในการสู้รบขัดแย้งนี้ และวางกับดักให้พวกเขาตกลงไปในการทำสงครามสู้รบกับรัสเซีย

ผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่มีอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าและมีอันตรายยิ่งกว่านี้อีกแล้ว ทรัมป์จำเป็นต้องพิจารณาให้ดีเกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ ของข้อเสนอที่สหรัฐฯยื่นออกมาในการเจรจาที่เบอร์ลิน และมันจะเป็นผลดีที่จะถอนข้อเสนอนี้ออกจากโต๊ะเจรจาก่อนที่มันจะสายเกินไป

สตีเฟน ไบรเอน เป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบายของสหรัฐฯ และผู้สื่อข่าวพิเศษอยู่ที่เอเชียไทมส์ ข้อเขียนชิ้นนี้ทีแรกสุดปรากฏอยู่บนจดหมายข่าว Weapons and Strategy ในแพลตฟอร์ม Substack ของเขา
กำลังโหลดความคิดเห็น