ครม.รักษาการณ์เบรกหัวทิ่มประชามติยกเลิก MOU ไทย-เขมร กฤษฎีกาชี้ขัดรัฐธรรมนูญทำไม่ได้ ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญโยนให้ กกต. ชี้ขาดว่าจะจัดพร้อมวันเลือกตั้งหรือไม่
การประชุมคณะรัฐมตรีรักษาการณ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม หลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกตั้ง มีผลการประชุมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการยืนยันชัดเจนว่าจะไม่มีการทำประชามติเพื่อสอบความคิดเห็นจากประชาชนว่าจะเห็นด้วยกับการยกเลิกเอ็มโอยูระหว่างไทยกับกัมพูชาหรือไม่ รวมไปถึงการเตรียมหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ในการพิจารณาความเป็นไปได้ของการเลือกตั้งพร้อมกับการออกเสียงประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้เห็นชอบกับการยื่นคำถามประชามติ เมื่อรัฐสภามีความเห็นถึงรัฐบาล ให้รัฐบาลตั้งคำถามประชามติกับประชาชนว่า “มีความต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่” ซึ่งคำพูดนี้เป็นไปตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยออกมา เพื่อป้องกันความผิดพลาด โดยสุดท้าย กกต.จะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งรัฐบาลมีความคิดเห็นไปว่า อยากให้การลงประชามติเป็นในวันเดียวกันกับวันเลือกตั้งทั่วไป เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ แต่ต้องรอความเห็นของ กกต.อีกครั้งหนึ่ง คาดว่าถ้า กกต.ไม่ขัดข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม น่าจะมีไทม์ไลน์ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ภายในสิ้นปีนี้
นายสิริพงศ์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอแนวทางในการยกเลิก MOU 2543-2544 ในการทำประชามติ ซึ่งการศึกษาของคณะทำงานและคณะกรรมาธิการเห็นว่า MOU 2543 ยังคงมีผลในการบังคับใช้อยู่ อาจจะใช้เป็นวิธีการปรับปรุง แต่ MOU 2544 ในทางปฏิบัติไม่มีผลบังคับใช้ จึงขอทำประชามติยกเลิก MOU 2544 แต่เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า มีผลผูกพันไปจนถึงรัฐบาลหน้า และไม่ได้มีประเด็นที่มีเจตจำนง หรือมีคำยืนยันจากรัฐสภา การทำประชามติยกเลิก MOU 2543-2544 นี้ จึงไม่ไม่สามารถดำเนินการได้
ในเรื่องข้อกฎหมายเกี่ยวกับการทำประชามติเรื่องเอ็มโอยูนั้น นายนพดล เภรีฤกษ์ โฆษกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ออกเอกสารชี้แจงว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ว่าจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา นั้น คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมข้อมูลไว้แล้ว แต่เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรจึงเกิดกรณีต้องพิจารณาว่า การจัดทำประชามติในเรื่องดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นการกระทำอันมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือไม่ จึงได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นประกอบการพิจารณา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า การออกเสียงประชามติ แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ การออกเสียงประชามติที่มีผลผูกพัน กับการออกเสียงประชามติที่เป็นการปรึกษาหารือ โดยการออกเสียงประชามติที่มีผลผูกพันจะผูกพันองค์กรผู้ริเริ่มให้มีการออกเสียงประชามติต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อยุติที่ได้จากการประชามตินั้น ดังจะเห็นได้จากการที่มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า การออกเสียงที่จะถือว่า “มีข้อยุติ” ในเรื่องที่จัดทำประชามติ ให้ใช้เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง โดยคะแนนเสียงข้างมากต้องสูงกว่าคะแนนเสียงไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น
ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรีจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา จึงต้องพิจารณาในเบื้องต้นก่อนว่าคณะรัฐมนตรีมุ่งหมายจะดำเนินการเพื่อให้มีข้อยุติ หรือเป็นเพียงการปรึกษาหารือผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ โดยหากคณะรัฐมนตรีมุ่งหมายจะดำเนินการเพื่อให้มีข้อยุติในเรื่องที่ทำประชามติเพื่อให้มีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปตามข้อยุตินั้น ก็จะเข้าลักษณะเป็นการออกเสียงประชามติที่มีผลผูกพัน ซึ่งเมื่อได้ข้อยุติเป็นประการใด คณะรัฐมนตรีทุกชุดก็จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อยุตินั้น ซึ่งหากเป็นดังนี้ก็จะเข้าลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากจะมีผลผูกพันให้คณะรัฐมนตรีชุดต่อ ๆ ไปที่จะต้องดำเนินการใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามผลการออกเสียงประชามตินั้นจนกว่าจะมีการประชามติใหม่และผลการประชามติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หากคณะรัฐมนตรีมุ่งหมายเพียงปรึกษาหารือผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ คณะรัฐมนตรีก็ยังใช้ดุลพินิจได้ว่าสมควรจะดำเนินการตามผลที่ได้จากการออกเสียงประชามติหรือไม่ ก็จะไม่เข้าลักษณะต้องห้าม
เมื่อพิจารณาคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีแล้ว ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีมุ่งหมายที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามผลของการประชามติ ด้วยเหตุผลดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงเห็นว่า การออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา ภายหลังจากที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 มีผลใช้บังคับแล้ว เข้าลักษณะเป็นการกระทำอันมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
อนึ่ง คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้เคยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติเรื่องนี้จึงต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ได้เสียที่เกิดจาก MOU หรือการยกเลิก MOU ดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเจรจาในเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันอาจก่อให้เกิดข้อเสียเปรียบแก่ประเทศอย่างรุนแรงและไม่เป็นผลดีแก่ประเทศในภาพรวมขึ้นได้ สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้พิจารณาผลกระทบด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
คณะรัฐมนตรีพิจารณาความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วเห็นว่า การจัดให้มีการประชามติเรื่องดังกล่าวภายหลังจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร จะมีผลเป็นการผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
จึงเรียนมาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องทั่วกัน

