xs
xsm
sm
md
lg

"พิพัฒน์" ชง ครม.เคาะรวมรถไฟฟ้าโอนให้ รฟม.คุมรายเดียว 2 แนวทางซื้อคืนสัมปทาน "ตั้งกองทุนฯ-เอกชนกู้รัฐทยอยจ่าย"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



"พิพัฒน์"เร่งชงครม.เห็นชอบรฟม.บริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership) หลังมติบอร์ดค่าโดยสาร-คจร.ไฟเขียวเดินหน้าโอนรถไฟฟ้า"สีเขียว-แดง"และซื้อคืนสัมปทาน มอบ"คลัง"หาแนวทางเหมาะสมไม่กระทบเพดานหนี้สาธารณะ พร้อมเปิด 2 แนวทางซื้อคืน "ออกบอนด์ตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือ ให้สัมปทานเอกชนไปกู้เงินมาก่อนรัฐทยอยใช้คืนจากรายได้โครงการ สัญญาจ้างวิ่ง 30 ปี

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership) รวมทั้งให้รับโอนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก สายสีเขียวส่วนต่อขยาย สายสีทอง และสายสีแดงรวมถึงรายได้และภาระหนี้สินของโครงการดังกล่าว ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้ รฟม.เร่งดำเนินการจัดทำสรุปผลการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินการโดยเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่เพิ่มขึ้น กับภาระค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องชดเชยหรือสูญเสียรายได้ รวมทั้งให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้รายได้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการชดเชยเอกชน เพื่อให้โครงการรถไฟฟ้าแต่ละสายสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยไม่ก่อให้เกิดภาระต่อการคลังและไม่เป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ มติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568เพื่อผลักดันระบบตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วม โดยจะนำมติดังกล่าวเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบในหลักการไว้ก่อน โดยพยายามจะนำเสนอครม.ภายในสัปดาห์นี้หากไม่ทันจะเสนอในสัปดาห์ต่อไป

ส่วนของการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้านั้น นายพิพัฒน์กล่าวว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมและไม่เป็นภาระหรือเพิ่มหนี้สาธารณะโดยให้เร่งหารือกับเกี่ยวข้องหารือ ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางราง (ขร.) รฟม.สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นต้น ซึ่งเบื้องต้นจากที่ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มี 2 แนวทางคือ 1.ออกพันธบัตร(บอนด์)เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เป็นการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินไปซื้อคืนสัมปทานจากเอกชน หรือ 2.รัฐพิจารณาให้สัมปทานเอกชนโดยกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เอกชนนำสิทธิ์ในสัมปทานไปกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพื่อคืนหนี้ให้กับเอกชนเองก่อน รูปแบบนี้เท่ากับว่ารัฐบาลได้ซื้อจากเอกชนแล้วผ่านการให้สัมปทานโครงการเพื่อนำไปกู้เงินมาก่อนจากนั้นจะทำสัญญาจ้างเดินรถกับเอกชนแบบ PPP Gross Cost ระยะเวลาประมาณ 30 ปี โดยเอกชนจัดเก็บค่าโดยสารส่งรัฐ จากนั้นรัฐจึงจะจ่ายค่าจ้างเดินรถให้เอกชนและทยอยคืนหนี้ซื้อคืนพร้อมดอกเบี้ยเป็นรายปี


ทั้งนี้ เบื้องต้น รฟม.ได้มีการศึกษารายละเอียดของแต่ละสายและต้นทุนในการดำเนินการ นำเสนอไว้แล้ว แต่จะมีตัวเลขการซื้อคืนสัมปทานของแต่ละสายเท่าไร ต้องรอผลการหารือที่มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการก่อน ซึ่งเรื่องการซื้อคืนสัมปทาน ยังต้องมีการเจรจากับเอกชนที่ได้รับสัมปทานให้ได้ข้อสรุปเสียก่อนด้วยคงไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ เพราะทางคลังคงต้องใช้เวลาสักระยะขณะเดียวกันทางรฟม.มีการหารือเบื้องต้นกับทางบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว กรณีการซื้อคืนสัมปทานไปบ้างแล้ว ทางเอกชนไม่ขัดข้องแต่ราคาซื้อคืนต้องเหมาะสม ในมุมของเอกชนทำธุรกิจก็คงต้องดูผลกำไรเป็นเรื่องปกติ ส่วนภาครัฐอาจจะทำได้แค่เสมอตัวหรือบางทีอาจต้องยอมขาดทุนบ้าง เนื่องจากต้องให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน อย่าหวังว่าเมื่อซื้อคืนมาแล้วรัฐจะทำกำไร เพราะระบบขนส่งมวลชนแค่ไม่ขาดทุนถือว่าเก่งมากแล้ว

"จะมีการเสนอครม.ขอความเห็นชอบหลักการไว้ก่อน เพื่อเป็นสารตั้งต้นว่า รัฐบาลอนุทินฯมีนโยบายค่าเดินทางในระบบขนส่งมวลชน โดยมีตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วม และไม่ว่าต่อไปจะเป็นรัฐบาลไหนก็สามารถนำไปขับเคลื่อนต่อได้เลย"


นายพิพัฒน์กล่าวว่า ตามหลักการจะโอนรถไฟฟ้าทุกสายในกรุงเทพฯ มาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรฟม.ก่อนและมีการซื้อคืนสัมปทานต่อไปเบื้องต้นรฟม.ศึกษาตัวเลขต่างๆ ไว้แล้ว แต่จะต้องเจรจากับเอกชนโดยต้องรอทางกระทรวงการคลังก่อน หลังซื้อคืนมาแล้ว รฟม.จะจ้างเอกชนให้บริหารการเดินรถในรูปแบบ PPP Gross Cost จากนั้นจะขยายโครงข่ายอัตราค่าโดยสารเหมารายวันครอบคลุมไปถึงรถโดยสารประจำทาง ขสมก. ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนรถโดยสารที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฟฟ้า (EV) ทั้งหมด และเปลี่ยนจากรถร้อนเป็นรถปรับอากาศด้วย โดยขสมก.อยู่ระหว่างประมูลเช่ารถโดยสารปรับอากาศ EV จำนวน 1,520 คัน เพื่อทดแทนรถร้อนครีมแดง คาดจะส่งมอบได้ในปี 2569 และจะเริ่มขยายค่าโดยสารเหมารายวันไปใช้กับรถเมล์ได้

นายพิพัฒน์กล่าวว่า กรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนสัมปทานจะหมดอายุในปี 2572 และกรุงเทพมหานคร (กทม.) อยู่ระหว่างศึกษาต่อสัมปทานกับทางบีทีเอส นั้น ตอนนี้มติที่ประชุมฯและนโยบายโอนโครงการมาให้รฟม.เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการซื่้อคืนสัมปทาน และหากผ่านครม.ทางกทม.ก็คงต้องหยุดการศึกษา PPP สายสีเขียว


ด้านนายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า รฟม.ได้มีการศึกษาและวิเคราะห์ตัวเลขที่เกี่ยวข้องสำหรับแนวทางการซื้อคืนสัมปทานและจ้างเอกชนบริหารการเดินรถพบว่า ระยะเวลา 30 ปี สามารถดำเนินการได้ในการจ่ายคืนค่าสัมปทานให้เอกชน ซึ่งรถไฟฟ้าที่ต้องซื้อคืนจะเป็นโครงการที่เป็นสัญญาแบบ PPP Net Cost อย่างไรก็ตามรูปแบบ และระยะเวลาในการดำเนินการ จะรอผลการหารือร่วมกับกระทรวงการคลังรวมถึงการเจรจากับเอกชนด้วย

@แจงปมค่าโดยสารเหมา 40 บาท/วัน ระบบหักเงินเกินจะคืนใน 3 วัน

สำหรับกรณีรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง ที่ได้เริ่มจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ – ตลิ่งชัน)และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ – รังสิต) รถไฟฟ้าสายสีม่วง สายฉลองรัชธรรม (เตาปูน – คลองบางไผ่)ที่เริ่มเก็บค่าโดยสาร สูงสุด 40 บาท/วัน (ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวภายในวันเดียวกัน) สำหรับประชาชนทั่วไป ส่วนนักเรียน/นักศึกษา สูงสุด 30 บาท/วัน โดยชำระค่าโดยสารบัตร EMV Contactless ทุกธนาคาร ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมาซึ่มีประเด็นประชาชนสับสนเรื่องการหักเงินเกินนั้น

นายพิพัฒน์กล่าวว่า กรณีระบบหักเงินตามอัตราปกติที่ 42 บาทนั้น ไม่ต้องกังวลทางธนาคารจะมีการคืนเงิน 2 บาทเข้าบัตรให้ภายใน 3 วันทำการ เท่ากับเสียค่าโดยสาร 40 บาทตลอดวันกี่เที่ยวก็ได้ซึ่งหากเดินทางไปและกลับก็เท่ากับจ่ายเที่ยวละ 20 บาท หรือหากเดินทางมากกว่า 2 เที่ยว อัตราต่อเที่ยวลดลงไปอีก และในระยะต่อไปจะขยายไปครอบคลุมรถไฟฟ้าทุกสายในกรุงเทพฯโดยจะมีการออกแบบและหาราคากลางของตั๋ววัน ควรเป็นอัตราเท่าไร หลักการจะเป็น กรณีเดินทางระยะทางสั้นๆ อาจต้องจ่ายตามจริง ส่วนที่เดินทางระยะทางยาวๆ ที่ต่อหลายสายายค่าโดยสารกว่า 100 บาท ก็อาจจะมีราคาเหมา 50 บาท/วัน หรือ 60 บาท/วัน เป็นต้น ซึ่งมาตรการนี้จะประหยัดค่าเดินทางให้ประชาชนแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น