รัฐบาลรัสเซียออกมาให้การตอบรับเชิงบวกต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ โดยระบุในวันอาทิตย์ (7 ธ.ค.) ว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าว "สอดคล้อง" กับมุมมองของรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มอสโกออกมาแถลงชื่นชมเอกสารยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอดีตศัตรูคู่แค้นในยุคสงครามเย็นอย่างเต็มภาคภูมิ
เอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ของ ทรัมป์ ว่าเป็น “แนวคิดสัจนิยมที่ยืดหยุ่น” และเรียกร้องให้สหรัฐฯ รื้อฟื้นหลักคำสอนมอนโร (Monroe Doctrine) ในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งประกาศให้ซีกโลกตะวันตกเป็นเขตอิทธิพลของสหรัฐฯ
เอกสารยุทธศาสตร์ที่ ทรัมป์ ลงนามยังเตือนด้วยว่า ยุโรปกำลังเผชิญกับ “การลบล้างอารยธรรม” (civilization erasure) และย้ำว่าการเจรจายุติสงครามยูเครยเป็นหนึ่งใน “ผลประโยชน์หลัก” ของสหรัฐฯ และวอชิงตันต้องการฟื้นฟูเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์กับรัสเซีย
“การปรับเปลี่ยนที่เราเห็นสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราในหลายๆ ด้าน” ดมิตรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวกับ พาเวล ซารูบิน ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ของรัฐ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับเอกสารยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ
ไม่บ่อยนักที่มอสโกและวอชิงตันจะแสดงท่าทีเห็นพ้องร่วมกันอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับเส้นแบ่งพื้นที่ทางการเมืองโลก แม้ว่าทั้งสองชาติจะเคยร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ในเรื่องการส่งคืนอาวุธนิวเคลียร์จากอดีตสาธารณรัฐโซเวียตให้แก่รัสเซีย และภายหลังจากเหตุวินาศกรรมสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001
ในช่วงสงครามเย็น มอสโกได้วาดภาพสหรัฐอเมริกาว่าเป็นจักรวรรดิทุนนิยมที่เสื่อมโทรมและล่มสลายด้วยความแน่นอนทางประวัติศาสตร์ของลัทธิมาร์กซ์ ในขณะที่ โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 1983 เรียกสหภาพโซเวียตว่าเป็น "จักรวรรดิชั่วร้าย" และ "ศูนย์กลางของความชั่วร้ายในโลกสมัยใหม่"
หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต มอสโกแสดงความหวังว่าจะร่วมมือกับตะวันตก แต่เมื่อวอชิงตันเริ่มเคลื่อนไหวสนับสนุนการขยายองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ตามที่ระบุไว้ในกลยุทธ์ปี 1994 ของประธานาธิบดี บิล คลินตัน ความตึงเครียดก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น และถูกผลักดันจนถึงขีดสุดภายใต้การนำของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในเครมลินในวันสุดท้ายของปี 1999
เมื่อถูกถามถึงคำมั่นสัญญาในเอกสารของสหรัฐฯ ที่จะยุติ "มุมมองการรับรู้ และยับยั้งความเป็นจริงของนาโตในฐานะพันธมิตรที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง" เปสคอฟ กล่าวว่า นั่นคือถ้อยคำที่ทำให้มอสโกใจชื้นขึ้น
อย่างไรก็ดี เปสคอฟ เตือนว่า สิ่งที่เรียกว่า "รัฐพันลึก" ในสหรัฐฯ นั้นมองโลกแตกต่างไปจาก ทรัมป์ ซึ่งใช้คำนี้เพื่ออ้างถึงเครือข่ายเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่สร้างอิทธิพลหยั่งรากลึก และพยายามบ่อนทำลายผู้ที่ท้าทายสถานะปัจจุบัน รวมถึงตัว ทรัมป์ เองด้วย
ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์ ทรัมป์ กล่าวว่า "รัฐพันลึก" นั้นไม่มีอยู่จริง และ ทรัมป์ กับพันธมิตรของเขากำลังขายทฤษฎีสมคบคิดเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจฝ่ายบริหาร
ยุทธศาสตร์ของ ทรัมป์ อธิบายถึงภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกว่าเป็น "สนามรบทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่ง" และเรียกร้องไปสู่การสร้างอำนาจทางทหารของสหรัฐฯ และพันธมิตรเพื่อป้องกันความขัดแย้งกับจีนในเรื่องไต้หวัน
ที่มา: รอยเตอร์

