xs
xsm
sm
md
lg

ปี69อุตฯก่อสร้างเจอปัจจัยท้าทาย โปรเจกต์เอกชนหด กระทบออเดอร์สั่งวัสดุฯ ซ้ำ!จีนส่งสินค้าตีตลาดไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ภาพรวมมูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2569 มีแนวโน้มทรงตัว อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท ในส่วนของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัว +1%YOY แตะระดับ 860,000 ล้านบาท โดยเผชิญแรงกดดันจากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2569 ในส่วนของวงเงินงบลงทุนอยู่ที่ 864,077 ล้านบาท ลดลง 5% จากปีงบประมาณ 2568 เป็นความท้าทายต่อมูลค่าการ ก่อสร้างภาครัฐในปี 2569 ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยจะต้องติดตามการจัดทำงบประมาณ ปี 2570 หากรัฐบาล ประกาศยุบสภาใน 4 เดือนตาม MOA จะส่งผลต่อการจัดทำ พรบ.งบประมาณ รายจ่ายให้มีความเสี่ยงล่าช้าเพิ่มขึ้น กระทบเม็ดเงินการก่อสร้างภาครัฐ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2569 ได้

อย่างไรก็ดี Mega project ที่กำลังดำเนินการมีความคืบหน้า รวมถึงในปี 2569 จะมีการเริ่มประมูล Mega project ใหม่ๆ เช่น รถไฟความเร็วสูงนครราชสีมา-หนองคาย, รถไฟทางคู่ เฟส 2 (ช่วงชุมพร–สุราษฎร์, สุราษฎร์- ชุมทางหาดใหญ่–สงขลา, ชุมทางหาดใหญ่–ปาดังเบซาร์), ทางพิเศษ จ.ภูเก็ต เฟส 1 และ 2, ขยายสนามบินดอนเมือง เฟส 3

สำหรับมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2569 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ 551,000 ล้านบาท (-1%YOY) โดยการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง -2%YOY ไปตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่หดตัว

ขณะที่การก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์มีแนวโน้มทรงตัว ทั้งนี้พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่หดตัวสูงในปี 2567 และมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในปี 2568 และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้ม หดตัวไม่ได้ตามเป้าหมายในปี 2568 ส่งผลให้การเปิดโครงการชะลอตัวลง และมีผลต่อกิจกรรมการก่อสร้างภาคเอกชนชะลอตัวในระยะข้างหน้า

ภาคก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายในปี 2569 ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง แม้ราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับก่อนปี 2565 อย่างไรก็ตาม ยังตเองจับตาการนำเข้าเหล็กจากจีน ที่จะทลักเข้ามาไทยมากขึ้น จากการตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์ รวมถึงความผันผวนของราคาพลังงาน

ประกอบกับจำนวนแรงงานพื้นฐานชาวเมียนมามีแนวโน้มลดลง อาจเป็นแรงกดดันให้ค่าแรงปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงผลกระทบจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา แต่คาดว่า แรงงานไม่ย้ายกลับกัมพูชงา จากค่าแรงในไทยยังสูงกว่ามาก อย่างไรก็ตาม การสู้รบบริเวณชายแดนอาจกระทบแรงงานกลุ่มไป-กลับตามฤดูกาล


นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตลาดคอนโดฯได้รับผลกระทบ ทั้งการก่อสร้างคอนโดฟื้นตัวได้ช้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างสูญเสียโอกาสสร้างรายได้ รวมถึงพฤติกรรมการซื้อคอนโดเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ นำเสนอความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง เพื่อเป็นจุดขายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ตึกถล่ม นั้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในภาคก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างเข้มงวดกับคุณภาพ และมาตรฐานวัสดุก่อสร้าง รวมถึงขั้นตอนการก่อสร้างมากขึ้น

อีกทั้ง บทบาทของผู้รับเหมาสัญชาติจีน ที่ส่งผลให้มีการแข่งขันด้านราคาในการเข้าประมูลงาน เนื่องจากมีเรื่องของความเชื่อมั่น ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องใน Supply chain โดยใช้วัสดุก่อสร้างจากจีนมากขึ้น เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และ กระเบื้อง

สำหรับความท้าทายในระยะปานกลาง ได้แก่ ภาวะ Oversupply ของภาคอสังหาฯที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ขณะที่ทาวนเฮ้าส์ได้รับความนิยมลดลง สำหรับคอนโดฯ ยังมีความเสี่ยงด้านการถูกปฎิเสธสินเชื่อในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ที่จะเป็นปัจจัยเร่งให้หน่วยเหลือขายมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นในระยะข้างหน้า

ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ยังมี Oversupply ของอุปทาน พื้นที่สำนักงานให้เช่า และพื้นที่ค้าปลีก อาจส่งผลให้เกิดการชะลอ การก่อสร้างโครงการที่ไม่มีศักยภาพ

ซึ่ง Productivity ของภาคก่อสร้างอยู่ในระดับต่ำ โดยระยะ 10 ปีที่ผ่านมา Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างไทย มีอัตราการขยายตัวที่ 2.7% CAGR เป็นอัตราที่ต่ำกว่าภาคบริการอื่นๆ เช่น กิจกรรมโรงแรมและบริการด้านอาหาร (5.1% CAGR) การขายส่ง ขายปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคล และของใช้ในครัวเรือน ( 4.1% CAGR) และแรงกดดันในการลดการปล่อย Emission


ทั้งนี้ ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างมีแนวทางการปรับกลยุทธ์ ดังนี้

1.เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ โดยร่วมมือกับพันธมิตร รวมถึงระมัดระวังการเข้าประมูลแบบแข่งขันด้านราคา ซึ่งธุรกิจSME จำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสรับงานผู้รับเหมาช่วงจากผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ จากงานโครงสร้างพื้นฐาน และงานภาคเอกชนขนาดใหญ่ที่ยังดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง

2.ควบคุมต้นทุนก่อสร้าง เป็นพันธมิตรกับผู้ค้า และผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างอย่างหลากหลาย ทำสัญญาสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้า รวมถึงวางแผนการใช้แรงงาน

3.ให้ความสำคัญกับการบริหาร Backlog ปรับสัดส่วนในการเข้าประมูลงานก่อสร้างภาครัฐ และภาคเอกชนอย่างเหมาะสม รวมถึงดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผน

4.สร้างความน่าเชื่อถือ ยกระดับความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างต่างชาติที่มีความน่าเชื่อถือ

5.ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่ม Productivity ลงทุนนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้ เป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างต่างชาติที่ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนาบุคลากร

6.ลดการปล่อย Emission กำหนดเป้าหมาย และตัวชี้วัด ไปจนถึงรายงานผลการดำเนินการ เป็นพันธมิตรกับผู้ค้า และผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลงทุนนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทั้งในพื้นที่ก่อสร้าง และสำนักงาน

อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างปี 2569 ในภาพรวมมีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อย จากปัจจัยด้านราคาวัสดุก่อสร้าง ทั้งเหล็ก ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง และสีทาอาคาร ในปี 2569 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามต้นทุนราคาราคาวัตถุดิบ และพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นสินแร่เหล็ก ถ่านหิน น้ำมัน และค่าไฟฟ้า รวมถึงสถานการณ์การแข่งขันด้านราคาที่ค่อนข้างรุนแรง ยังเป็นปัจจัยกดดันให้ราคากระเบื้องมีแนวโน้มปรับตัวลดลง อย่างไรก็ดี ราคาวัสดุก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับราคาในอดีต (ก่อนปี 2022)

ในส่วนของปริมาณการใช้งานวัสดุก่อสร้างในปี 2569 เผชิญแรงกดดันในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่หดตัว เนื่องจากที่อยู่อาศัยที่รอจำหน่ายยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การเปิดโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2569 หดตัว กดดันปริมาณการใช้งานวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มวัสดุตกแต่ง อาทิ กระเบื้องปูพื้น-บุผนัง สีทาอาคาร เนื่องจากกว่า 70% ของปริมาณการใช้งานทั้งหมดในแต่ละปี เป็นการใช้งานในโครงการก่อสร้างของภาคเอกชน ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งก็ยังมีความเสี่ยงของการชะลอการก่อสร้างที่ไม่มีศักยภาพ ซึ่งปริมาณการใช้งานที่ลดลง เป็นความเสี่ยงต่อรายได้ของผู้ประกอบการ จากยอดจำหน่ายที่หดตัว เป็นผลจากคำสั่งซื้อที่ลดลง และแนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างที่ลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน

ขณะที่ปริมาณการใช้งานเหล็กทรงยาว และเหล็กทรงแบนในปี 2569 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6.5 ล้านตัน (+0.5%YOY) และ 10.4 ล้านตัน (+0.2%YOY) ตามลำดับ

รวมถึงปริมาณการใช้งานปูนซีเมนต์ในปี 2569 มีแนวโน้มอยู่ที่ 36.1 ล้านตัน ทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2568 ไปตามการทรงตัวภาคก่อสร้างส แม้การใช้งานในโครงการก่อสร้างภาครัฐจะประคับประคองให้การใช้งานปูนฯยังพอขยายตัวได้ แต่ก็ยังเผชิญกับความท้าทาย จากความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่กระทบต่อโครงการก่อสร้างภาครัฐ และกระทบถึงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ที่หดตัวลงเช่นกัน

ขณะที่ ราคาปูนซีเมนต์ในปี 69 มีแนวโน้มลดลงเช่นกันอยู่ที่ -2.4% ไปแตะระดับ 1.77 พันบาทต่อตัน จากแนวโน้มราคาพลังงาน ทั้งถ่านหินและน้ำมัน ที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับราคาในอดีต(ก่อนปี 2022)

ส่วนอุตฯกระเบื้องและสีทาอาคารนั้น คาดว่าในปี 69 การใช้งานกระเบื้องปูพื้น/บุผนังในประเทศมีแนวโน้มอยู่ที่ 189 ล้านตร.ม.(-1.5% YOY) จากการก่อสร้างภาคเอกชนที่มีแนวโน้มหดตัวไปตามตลาดที่อยู่อาศัย แม้ยังมีการใช้งานกระเบื้อง ปูพื้น/บุผนังเพื่อปรับปรุงพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ โรงแรม, ห้างสรรพสินค้า, พื้นที่ค้าปลีก, โครงการ Mixed-use และ Community mall รวมถึงที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ในวันที่ 28 มีนาคม 68 ที่ผ่านมา แต่อุปสงค์การใช้งานยังเป็นไปอย่างจ˚ากัด โดยเฉพาะครัวเรือน มีความระมัดระวังใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซม

สิ่งที่น่ากังวล ยังเจอปัจจัยกดด้นจากการเข้ามาตีตลาดของกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะกระเบื้องจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย ประกอบกับผลกระทบจากสงครามการค้า ของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้เกิดการระบายสินค้ากระเบื้องจากจีน เวียดนาม และอินเดีย มายังไทยมากขึ้น และเป็นการซ้ำเติมในเรื่องของการแข่งขัน บนสถานการณ์ที่ราคากระเบื้องในปี 69 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 147 บาท/ตร.ม. (-2.0%YOY) ตามต้นทุนปัจจัยการผลิต และราคาพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง

ขณะที่มูลค่าตลาดสีทาอาคารที่เคยสูงถึง 41.1 พันล้านบาท ในปี 2566 กลับมาลดลงต่อเนื่อง คาดว่า ในปี 69 มูลค่าตลาดสีทาอาคารมีแนวโน้มหดตัว 2.4 %YOY จากปัจจัยด้านราคาที่ลดลง และปริมาณการใช้งานที่หดตัวตามการก่อสร้างที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี การพัฒนาพื้นที่ เชิงพาณิชย์ รวมถึงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคาร และที่พักอาศัย จะเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุง ปริมาณการใช้งานสีทาอาคารในป 69 ได้

โดยราคาสีทาอาคาร คาดว่าจะอยู่ที่ 100 บาท/ลิตร ปรับตัวลดลงเล็กน้อยต่อเนื่องจาก ปี 68 ตามต้นทุนวัตถุดิบสำคัญ และต้นทุนค่าขนส่ง จากทิศทางราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้ม ปรับตัวลดลง

ทั้งนี้ในปี 69 ยังมีความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงาน และค่าเงินบาท ซึ่งจะมี ผลต่อต้นทุนการผลิต และการขนส่ง นับเป็นความ ท้าทายที่สำคัญในการรักษาอัตรากำไรของผู้ประกอบการในช่วงที่ปริมาณการใช้งานสีทาอาคาร มีแนวโน้มลดลง

ประเด็นที่ยังต้องจับตา คือ สินค้าต่างประเทศที่จะถูกระบายเข้ามาไทยมากขึ้น จากผลกระทบของสงครามการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเหล็ก ที่เผชิญการทะลักเข้ามาของเหล็กจีน และถูกซ้ำเติมด้วยเหล็กญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งจะมีแนวโน้มถูกระบายเข้ามามากขึ้น เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ เคยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กของสหรัฐฯ มาก่อนที่จะมีการยกเลิกการยกเว้นและปรับเพิ่มอัตราภาษี ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าเหล็กจากทั้งสองประเทศในปี 69 จะเพิ่มขึ้นกว่า 10-15% และเป็นการซ้ำเติมปัญหาการผลิตเหล็กในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว


นอกจากนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้เกิดการระบายกระเบื้องจากทั้งจีน เวียดนาม และอินเดียมายังไทยมากขึ้น

ปัจจัยกดดันรอบด้านในปี 2569 ส่งผลให้ธุรกิจวัสดุก่อสร้างต้องปรับกลยุทธ์ โดยผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างควรแสวงหาโอกาสจากการจับขั้วทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจัดหาแหล่งวัตถุดิบการผลิตสินค้า รวมถึงสร้างจุดแข็งของสินค้าเพื่อเจาะกลุ่มประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพ

การรับมือกับการแข่งขันจากสินค้าราคาถูกจากจีน ควรเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในด้านคุณ ภาพและมาตรฐานของสินค้ามากกว่าด้านราคา ซึ่งต้องมีการบริหารจัดการแหล่งวัตถุดิบ ต้นทุน และสต็อกสินค้า เพื่อให้ธุรกิจ ยังสามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยภาครัฐจะเป็นต้องเข้ามาสนับสนุนในเชิงนโยบาย หรือ กำหนดมาตรการ เช่น การสกัดกั้นสินค้าที่ถูกนำเข้ามาทุ่มตลาด การกำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้าและส่งออก เป็นต้น


สำหรับผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง ต้องติดตามสถานการณ์และแนวโน้มของอุตฯ เช่น ทิศทางราคาสินค้า ต้นทุนการขนส่ง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนให้สอดคล้องกับความสามารถในการระบายสินค้าของผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง ช่วยลดปัญหาต้นทุนจม หรือ สินค้าค้างสต๊อกเป็นเวลานาน

การจัดจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ในระดับราคาที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ค้าวัสดุก่อสร้างได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น และมีโอกาสที่จะได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้ามากขึ้น เพิ่มประสิทธิ ภาพในการให้บริการ นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้รบมือกับสินค้าจีน.
กำลังโหลดความคิดเห็น