xs
xsm
sm
md
lg

เปิดปมวิกฤตน้ำไทย! "คนผิด-ระบบพัง-ข้อมูลเท็จ" ศศิน ชำแหละการจัดการน้ำ 5 EP พบแต่งตั้งตามเส้นสาย-องค์กรเกรงใจผู้ใหญ่ ทำประเทศเสื่อมความสามารถ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ปัญหาน้ำท่วมที่กลายเป็นภัยพิบัติซ้ำซากทุกปีกำลังถูกเปิดโปงอย่างถึงราก เมื่อ นายศศิน เฉลิมลาภ กรรมการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้รวบรวมบทวิเคราะห์ความล้มเหลวในการจัดการน้ำของไทยเป็น 5 EP โดยระบุว่าสาเหตุสำคัญคือ "คนผิด ระบบพัง" ชี้ชัดว่าหน่วยงานหลักด้านน้ำมีปัญหาตั้งแต่ต้นทาง คือผู้บริหารที่ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญเพราะมาจากการ "ซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนตำแหน่ง" มีวัฒนธรรม "เกรงใจผู้ใหญ่" มากกว่าเกรงกลัวความผิดพลาด และการประสานงานของกรมต่างๆ ที่ "ดึงข้อมูลคนละชุด" ขาดความเป็นเอกภาพ ส่งผลให้คำสั่งและการเตือนภัยถึงประชาชนล่าช้าเสมอ

จากกรณี นายศศิน เฉลิมลาภ กรรมการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ออกมาโพสต์เตือนปัญหาน้ำท่วมซ้ำไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ แต่เกิดจากการเมืองแทรกแซง ระบบข้อมูลล้าหลัง และคนรู้จริงถูกกันออก จนการบริหารน้ำผิดพลาดต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อวันที่ 24 พ.ย. เจ้าตัวได้ร่ายยาวเกี่ยวกับปัญหาการจัดการน้ำทั้งหมด 5 EP ใจความว่า

1. ปัญหาเชิงบุคคลและวัฒนธรรมองค์กร (คน)
เป็นชั้นแรกที่นำไปสู่ความล้มเหลวในทุกๆ ปี (Predisaster)

แต่งตั้งตามเส้นสาย ผู้บริหารในหน่วยงานหลักด้านน้ำ (เช่น ชป., ปภ.) มาจากสาย "จัดหา-ล็อบบี้-การเมือง" มากกว่าสาย "วิชาการ-บริหารภัยพิบัติ" ทำให้ข้อมูลผิด, ประเมินสถานการณ์ไม่เข้าใจเนื้อหา, สั่งการช้า, และไม่เชื่อผู้เชี่ยวชาญหน้างาน

ผู้บริหารระดับสูงในต่างกรม-ฝ่าย "ไม่ชอบกัน" ทำให้ไม่แชร์ข้อมูลพยากรณ์-เรดาร์-ภาคสนามแบบ Real-time การแจ้งเตือนประชาชนจึงล่าช้า

มีการย้ายนักวิชาการตัวหลักออกระหว่างที่เกิดพายุ/น้ำท่วม ทำให้เกิด Vacuum ทางวิชาการ เจ้าหน้าที่หน้างานไม่รู้จะฟังใคร และองค์กรเสียเข็มทิศ

เน้น "เกรงใจผู้ใหญ่" มากกว่า "เกรงกลัวความผิดพลาด" ทำให้ไม่กล้ารายงานฝนหนัก, ไม่กล้าสั่งอพยพ, และไม่กล้าชี้ปัญหาเชิงระบบ เพราะกลัวผู้ใหญ่ไม่พอใจ

2. ปัญหาเชิงโครงสร้างราชการ (ระบบ)
เป็น "ระบบที่ออกแบบมาให้ทำงานช้า ทำงานซ้ำ และทำงานคนละทิศ"

การจัดการน้ำต้องการความต่อเนื่องหลายปี แต่ระบบไทยเปลี่ยนผู้บริหารและนโยบายตามคนบ่อยครั้ง (ทุก 3-6 เดือน) ทำให้ไม่สามารถสร้างระบบยั่งยืน เช่น Flood Intelligence หรือ Common Operating Picture (COP) ได้

หน่วยงานน้ำหลายแห่ง (อุตุฯ, สสน., ชป., สทนช., ปภ.) ต่างคนต่างมีเรดาร์ ดึงข้อมูลคนละชุด, พูดกันคนละศัพท์, ทำงานคนละจังหวะ ทำให้เกิด "เสียงแตก" สั่งการช้า และประเทศไม่มี Common Operating Picture (COP) ที่เห็นข้อมูลเดียวกัน

หน่วยงานไม่กล้าส่ง Critical Bulletin (CB) เพราะ "กลัวทำคนตื่นตระหนก" ทำให้ประชาชนรับรู้ช้ากว่าที่ควร

3. ปัญหาเชิงข้อมูลและเทคนิค (ความรู้)
เป็นชั้นที่สามที่ทำให้ "ข้อมูลผิดตั้งแต่ต้นทาง ผลลัพธ์จึงผิดทุกชั้น"

ระบบประเมินไม่ได้นำ Topography, Drainage, Land Use เข้ามาคำนวณร่วม ทำให้พยากรณ์ว่า "ไม่หนัก" แต่พื้นที่หน้างานกลับจมจริง

ประเทศขาด Radar ฝน Real-time และ Hydrology Model ที่ผูกกับภูมิประเทศจริง ข้อมูลจริงถูกส่งผ่านแค่ Line กลุ่ม ซึ่งคลาดเคลื่อนง่าย

4. ปัญหาการเมืองและผลประโยชน์ (การเมือง) เป็นปัจจัยที่ทำให้ "ความปลอดภัยกลายเป็นเรื่องรอง"

ผู้บริหารบางส่วนถูกแต่งตั้งจากการ "ซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยน" ทำให้เน้นสร้าง "ผลงานที่มองเห็นได้" (ถนน, คันดิน, สิ่งก่อสร้าง) มากกว่า "ระบบเตือนภัย, แบบจำลอง, Data Infrastructure"

ระบบบัญชาการน้ำมี "สองศูนย์" (เช่น คอภ. กับ กนช.) ทำให้เกิดคู่ขนาน และ ขาด Unified Command (คำสั่งชุดเดียว) การเมืองและเครือข่ายท้องถิ่นคุมเส้นทางน้ำ ทำให้บางพื้นที่ "แตะต้องไม่ได้"

5. ผลกระทบสุดท้ายต่อระบบจัดการน้ำทั้งประเทศ (จบ) เป็นผลกระทบระยะยาวที่ทำให้ประเทศ "เสื่อมความสามารถ"

คนรู้จริงถูกกันออก, คนตัดสินใจไม่รู้พื้นที่ วิกฤต ถูกบริหารด้วย "ความรู้สึก-ภาพการทำงาน" มากกว่า "ข้อมูล-วิชาการ"

ข้าราชการน้ำที่เก่งจริงไม่ได้รับการเติบโต และถูกกันออกจากตำแหน่งนโยบาย ระบบ Reward/Promotion ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดทางการเมือง ทำให้คนเก่งท้อแท้และลาออก ไปสู่ภาคเอกชน/NGO










กำลังโหลดความคิดเห็น