อีอีซี”แจงปมสำคัญ แก้สัญญา”ไฮสปีด 3 สนามบิน” รัฐต้องช่วยเพื่อให้โครงการเดินหน้า หลังวิกฤติ”โควิด- ศก.”ดอกเบี้ยกู้พุ่ง 2.5% ค่าก่อสร้างเพิ่ม 5% แบงก์ไม่ปล่อยกู้ คาด”พิพัฒน”ชงครม.เคาะหลักการ’สร้างไป-จ่ายไป’ เคลียร์พ.ร.บ.วินัยการเงินฯ ดันเริ่มก่อสร้างปี 69
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือีอีซี เปิดเผยว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)มูลค่าลงทุน224,544.36ล้านบาทซึ่งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สกพอ.และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (ซี.พี.) เอกชนคู่สัญญา ได้เจรจาได้ข้อสรุปในหลักการ และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด อีอีซี) เห็นชอบหลักการไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจาก มีประเด็นการปรับ วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน จากเดิม เริ่มจ่ายเมื่อเอกชนเปิดเดินรถ หรือประมาณปีที่ 6 มาเป็นจ่ายในปีที่ 2 เมื่อเริ่มก่อสร้าง ซึ่งเป็นวิธีที่เรียกว่า “ก่อสร้างไป จ่ายไป “ตามงวดงานที่ตรวจรับ ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นว่า อาจจะต้องมีกระบวนการตามกฎหมาย โดยเฉพาะการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ซึ่งจะต้องมีภาระการเงิน ภาระงบประมาณที่จะต้องจ่ายคืนค่าร่วมลงทุน ซึ่งประเด็นนี้ จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อน
เรื่องนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานบอร์ด อีอีซี รับทราบแล้ว คาดว่าจะมีการนำเสนอครม.ในเร็วๆนี้ น่าจะทันภายในรัฐบาลนี้ ซึ่งหลังจากครม.เห็นชอบ ในส่วนของกระบวนการแก้ไขสัญญา จะดำเนินการได้ต่อเนื่อง โดยทางสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ตรวจร่างสัญญาฯแล้ว เหลือเพียงการทำความเข้าใจในประเด็นที่มีข้อสังเกตุ จากนั้น รฟท.จะต้องสรุปเพื่อนำเสนอบอร์ดอีอีซี เห็นชอบร่างสัญญาฯและเสนอครม.เห็นชอบเพื่อลงนามสัญญาต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าจะเป็นช่วงต้นปี 2569 ซึ่งกรณีมีการเปลี่ยนรัฐบาล จะไม่มีผลกระทบแล้วเพราะเรื่องนี้ ครม.ได้เห็นชอบในหลักการและ กระบวนการตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ไปแล้ว
ดังนั้น ภายใน2569 โครงการก็จะเริ่มก่อสร้างได้
“การปรับวิธีจ่ายค่าอุดหนุนโครงการในปีที่ 6-16 มาเป็น จ่ายเร็วขึ้น จำเป็นต้องให้ ครม. ผูกพันเงินส่วนนี้ไว้ เพื่อตอนที่จ่ายเงิน รัฐบาลจะได้เอางบประมาณหรือไปขอกู้เงินมาจ่าย โดยจะต้องมีการหารือกับสำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังด้วย”
@แจงปัญหาเศรษฐกิจ -โควิด กระทบหนัก ฉุด ผลตอบแทนลด-ดอกเบี้ยพุ่ง ต้นทุนเพิ่ม
นายจุฬากล่าวว่า ข้อเท็จจริง ที่ต้องมีการเจรจาแก้ไขสัญญาโครงการฯ เหตุผลสำคัญ เริ่มแรก รฟท.ในฐานะเจ้าของโครงการ ส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนล่าช้า แม้ระยะต่อมา รฟท. จะสามารถส่งมอบพื้นที่ได้ครบ 100% แต่เป็นช่วงหลังเกิดโควิด-19 ดังนั้น การก่อสร้างจึงเป็นไปไม่ได้ประกอบกับ โครงการไม่เป็นไปตามผลการศึกษาที่วางไว้ตั้งแต่ปี 2560 เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายอย่างไม่เหมือนเดิม เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น 2.5% ราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้นตาม ส่งผลให้ค่าก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5% และค่าใช้จ่ายในการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (O&M) เพิ่มขึ้น 10% ปัจจัยหลัก 3 ตัวนี้ ทำให้ต้นทุนของโครงการ แพงขึ้นมาก
ขณะที่ฝั่งรายได้จากโครงการ มีการปรับวิถีชีวิตหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะพฤติกรรมการเดินทางที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ส่งผลให้รายได้โครงการที่คาดว่าจะได้รับลดตามไปด้วย เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีแหล่งเงินปล่อยเงินกู้ให้ ซี.พี.
“จากการการพูดคุยกับองค์กรเช่น JBIC (ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น) หรือ China Development Bank (ธนาคารพัฒนาแห่งประเทศจีน) ที่มักจะปล่อยกู็ให้กับโครงการขนาดใหญ่ของไทย ยังมีความเห็นตรงกันว่า โครงการแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไร้ความช่วยเหลือจากรัฐบาล หรือในแบงก์พาณิชย์ทั่วๆไป เขาก็มองออกว่า รายได้ของโครงการแบบนี้จะมาจากค่าโดยสาร แบงก์บอกกันหมดว่า จากลักษณะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแบบนี้ ไม่มีที่ไหนเขาให้กู้หรอก พูดง่ายๆคือ เงินที่กู้ไปและลงทุนมาคำนวณกับจำนวนรายได้ที่สามารถเก็บได้นั้น จากผลตอบแทนทางการเงินที่คาดว่าจะสามารถให้กับผู้ถือหุ้นที่คำนวณไว้ 5.5% ตอนนี้เหลือแค่ 1.1% แล้ว จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่รัฐต้องเจรจาให้เอกชนทำโครงการให้เกิดขึ้น ทาง อีอีซี ต้องการให้โครงการเดินหน้า แต่ก็อาจจะถูกมองดูเหมือนว่า การแก้ไขสัญญาเป็นการแก้เพื่อเอกชน “
@แก้สัญญา ‘สร้างไป-จ่ายไป’รัฐจ่ายเร็วประหยัดดอกเบี้ย 2 หมื่นล้าน
นายจุฬากล่าวว่า การแก้สัญญาเพื่อให้ โครงการเดินต่อไปได้ ในส่วนของการจ่ายเงินอุดหนุนเร็วขึ้น จากปีที่ 6 เป็นปีที่ 2-3 เพื่อให้เม็ดเงินที่คาดกันว่าจะมีในปีที่ 6 ได้มาเร็วขึ้น และลดความเสี่ยง ที่เอกชนต้องไปกู้เงินมาลงทุน ในทางกลับกันถ้ารัฐไม่ทำอะไร โครงการไปต่อไม่ได้ เพราะซี.พี.ไม่ทำ แล้วรัฐเอาไปเร่ขายในตลาด ณ วันนี้ไม่มีใครขอกู้ได้อยู่ดี เพราะโครงการมันไม่คุ้มแล้ว และหากรอไปเรื่อยๆ ส่วนของดอกเบี้ย อาจจะเพิ่มหรือลดลง ก็ได้ แต่ค่าก่อสร้างที่ตอนนี้ขึ้นไปแล้ว 5% จะไม่ลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ ค่า O&M ก็ไม่ลด
“ถ้าปล่อยไป ไม่ทำอะไร การกลับไปเริ่มโครงการใหม่ ค่าก่อสร้าง ค่าอะไรน่าจะสูงกว่านี้ ปัจจุบันมองกันว่า ถ้าต้องทำแบบนี้ กรณีที่รัฐต้องจ่ายในปี 6-20 มูลค่ากว่า 140,000 ล้านบาท พอจ่ายเร็วขึ้น 4 ปี ก็จะทำให้เงินที่ต้องจ่ายลดลง 20,000 ล้านบาท เนื่องจากตัวนี้ทำให้ดอกเบี้ยและอัตราในการทยอยจ่ายค่าอุดหนุนลดลง” นายจุฬากล่าว

