การเมืองไทยกำลังอยู่ในภาวะตึงตัวพอสมครวร เมื่อรัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องเผชิญแรงกดดันทั้งในสภาและจากสาธารณชน ถึงขนาดที่มีการแสดงออกมาว่าหากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็อาจพิจารณาถึงการตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรกันเลยทีเดียว ในประเด็นนี้ นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี และส.ส.บุรีรัมย์ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า รู้สึกไม่สบายใจ ที่มีผู้แสดงความคิดเห็นหลังจากที่นายอนุทิน ระบุว่าหากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจจะยุบสภา ว่าเป็นหนีการตรวจสอบ ซึ่งส่วนตัวมองว่าการวิพากษ์วิจารณ์แบบนั้นเป็นการสร้างประเพณีที่ไม่ดี พูดเหมือนเอาแต่ได้ เพราะเราเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในประวัติศาสตร์ การกล่าวหาเราเช่นนี้ไม่แฟร์
นายโสภณ กล่าวว่า เราไม่กลัวการชี้แจง ถ้าจะให้เกิดความแฟร์ ควรยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ไม่ว่าจะเป็นเดือนธันวาคม หรือหรือเดือนมกราคม ก็ได้ ถือเป็นการดีเบตก่อนการเลือกตั้ง จะได้ซักถามกันระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล และทำให้ประชาชนได้เห็น ว่าใครมีผลงานหรือไม่มีผลงานเอามาอวดกันเลย แบบนี้ตนคิดว่าแฟร์ดี
"ในทางการเมืองถ้าเราพูดบนความที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง โดยมีคนพูดว่าถ้าชี้แจงได้จะยกมือให้ ในข้อเท็จจริง และมารยาทแบบนี้มันมีที่ไหน เพราะความเป็นจริงการยกมือให้ ไม่ได้อยู่ที่การชี้แจงหรือไม่ชี้แจง แต่ก็ยกมือตามนั้น และหากรัฐบาลในยุคนายอนุทินแพ้โหวตในสภาก็จะเป็นตราบาปของท่าน ของผม ของพรรคผม ซึ่งเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะคะแนนเสียงของฝั่งรัฐบาลไม่ถึง และขอยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยไม่กลัวการชี้แจง แต่ที่จะต้องยุบสภา เพราะเป็นเสียงข้างน้อย" นายโสภณ กล่าว
ด้าน นางสาวขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงถึงท่าทีของพรรคต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เวลานี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาไปแล้ว 14 มาตรา จาก 30 กว่ามาตรา ซึ่งการแก้ไขในครั้งนี้เพื่อจะเดินหน้าไปสู่การทำประชามติ และเปิดทางยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชนที่เราทุกคนปรารถนา แม้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของพรรคเพื่อไทยจะถูกตีตกไปในวาระที่ 1 แต่เรายังเห็นความสำคัญของการมี ส.ส.ร. เพราะเชื่อว่า ส.ส.ร.นั้นจะใช้ผูกพันกับประชาชนเพื่อที่จะสะท้อนความหลากหลายของสังคมโดยจะมีบทบาทที่จะกำกับ ตรวจสอบ ส่งเสริม และสนับสนุนผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ
นางสาวขัตติยา กล่าวอีกว่า สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่าพรรคเพื่อไทยพยายามถ่วงเวลาในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ถือเป็นข้อมูลที่บิดเบือนความเป็นจริงอย่างชัดเจน เพราะพรรคเพื่อไทยไม่มีเหตุผลที่จะต้องดำเนินการเช่นนั้น หากเราทราบถึงอดีตและประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จะเห็นว่าพรรค เพื่อไทยสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาโดยตลอด แต่ความล่าช้าที่เกิดขึ้น อยากตั้งคำถามไปว่าเป็นเพราะพรรคการเมืองพรรคบางพรรคต้องการที่จะใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตัวประกันเพื่อไม่ให้มีการอภิปรายหรือไม่