สถานการณ์น้ำทั่วประเทศเริ่มเปลี่ยนผ่านจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว โดยภาคเหนือและภาคอีสานตอนบนมีแนวโน้มฝนลดลง ขณะที่ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดชุมพรถึงนราธิวาสจะมีฝนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลต้องเร่งบริหารจัดการน้ำทั้งในเขื่อนและลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลซึ่งมีระดับน้ำใกล้เต็มความจุ ขณะเดียวกัน รัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับและเยียวยาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม พร้อมยืนยันว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรงเหมือนอุทกภัยปี 2554
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ขณะนี้กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่าร่องมรสุมและฝนในภาคเหนือตอนบนและภาคอีสานจะลดลง แต่ภาคใต้เริ่มมีฝนมากขึ้น จึงได้สั่งการให้หน่วยงานใน 6 จังหวัดภาคใต้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำอย่างเต็มที่
ด้านสถานการณ์เขื่อนหลัก ร.อ.ธรรมนัส ระบุว่า เขื่อนภูมิพลมีระดับน้ำเกือบเต็มแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ควบคุม โดยมีการระบายน้ำ 45–48 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่วนเขื่อนกิ่วลม จังหวัดลำปาง มีน้ำอยู่ราว 6 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งรวมกันจะไหลลงสู่ลำน้ำหน้าเขื่อนเจ้าพระยาประมาณ 54 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ปัจจุบันมีการระบายน้ำออกจากเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ก่อนจะทยอยลดเหลือ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในเดือนธันวาคม และเข้าสู่ภาวะปกติในเดือนมกราคม 2569 สำหรับพื้นที่ท้ายเขื่อน โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และใกล้เคียง ยอมรับว่ายังมีน้ำท่วมขังอยู่บ้างแต่คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติภายในหนึ่งสัปดาห์ ขณะเดียวกันปริมาณน้ำหนุนจากทะเลลดลงในช่วงวันที่ 10–20 พฤศจิกายน ซึ่งช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น โดยกรมชลประทานได้เตรียมเครื่องสูบน้ำและอุปกรณ์กั้นน้ำไว้ในพื้นที่เสี่ยงทั้งฝั่งเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนแล้ว ส่วนกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ยืนยันว่าสามารถควบคุมปริมาณน้ำได้ แม้อาจกระทบบางพื้นที่แต่จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2554 พร้อมย้ำว่าการบริหารจัดการน้ำมีแผนรองรับหากเกิดพายุหรือสภาพอากาศแปรปรวนอย่างกะทันหัน
ทั้งนี้ ช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงประเด็นทางการเมือง แต่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ไม่ตอบเรื่องการเมือง เอาเรื่องการบ้านก่อน” จากนั้นได้เดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที
ด้านนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เขื่อนภูมิพลมีน้ำเข้าเฉลี่ยวันละ 90 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ระบายออกเพียง 45–48 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทำให้ต้องรับน้ำสะสมเพิ่มกว่า 40 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน คาดว่าอีก 2–3 วันเขื่อนจะเต็มความจุและจำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำเป็น 50–55 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อป้องกันไม่ให้ล้นเขื่อน ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงและเจ้าพระยาสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ รัฐบาลจึงเตรียมลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และผันน้ำไปยังพื้นที่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกมากขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบในพื้นที่ท้ายเขื่อน พร้อมใช้พื้นที่ทุ่งนาเป็นแก้มลิงชั่วคราวและทยอยจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบยาวนาน เช่น พระนครศรีอยุธยาและอ่างทอง เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

