จับตาวิกฤตน้ำ เขื่อนภูมิพลจ่อเต็มความจุ ปรับการระบายใกล้แตะ 3,000 ลบ.ม.ต่อวินาที เตือนพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างเตรียมรับมือมวลน้ำเหนือ รัฐบาลยืนยันไม่ซ้ำรอยปี 54
สถานการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยากำลังอยู่ในช่วงวิกฤตอีกครั้ง หลังจากที่ปริมาณน้ำเหนือไหลเข้าสู่เขื่อนหลักทางภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ที่ขณะนี้มีน้ำมากถึง 99% ของความจุ และคาดว่าจะเต็มภายใน 2-3 วันข้างหน้า ทำให้รัฐบาลต้องเร่งประเมินและเตรียมแผนระบายน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้กระทบพื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา จนถึงกรุงเทพมหานคร
นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำว่า ปัจจุบันเขื่อนภูมิพลมีน้ำไหลเข้าเฉลี่ยวันละ 90 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ปล่อยออกเพียง 45 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงต้องประเมินการระบายเพิ่มเติมในช่วง 2-3 วันนี้ ขณะที่น้ำที่ปล่อยลงมาจะไหลต่อมายังเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ซึ่งขณะนี้ระบายน้ำอยู่ที่ 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หากมีการเพิ่มอัตราการระบาย อาจส่งผลให้พื้นที่ใต้เขื่อนได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น
ในส่วนของเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ คาดว่าปริมาณน้ำไหลเข้าจะลดลง ทำให้สามารถลดการระบายน้ำจากวันละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร เหลือ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งช่วยชะลอการเพิ่มระดับน้ำในพื้นที่ตอนล่างได้บ้าง นายภราดรยืนยันว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะบริหารจัดการน้ำให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด พร้อมเผยว่าการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ 9,000 บาท ได้จ่ายแล้วกว่า 70% และจะครบ 100% ภายในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้
นายภราดร กล่าวว่า เวลานี้มีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ แต่ที่เกรงว่าจะมีปัญหาเหมือนปี 2554 ที่น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือไม่นั้น จากการประเมิน และรับทราบข้อมูลในขณะนี้ สามารถยืนยันได้ว่าความรุนแรงคงไม่รุนแรงเหมือนปี 2554 เพราะในปีดังกล่าวปริมาณน้ำมากกว่านี้ และเกิดอุบัติเหตุที่คลองบางโฉมศรี จังหวัดสิงห์บุรี ทำให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางน้ำได้ แต่วันนี้อุบัติเหตุยังไม่เกิดขึ้น และจะพยายามควบคุมไม่ให้เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เหมือนปี 2554
ด้าน GISTDA เปิดเผยภาพดาวเทียมล่าสุด พบว่าพื้นที่คาดการณ์น้ำท่วมตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาได้กลายเป็นพื้นที่น้ำท่วมจริงแล้ว โดยเฉพาะในจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพฯ ตอนบน เช่น เกาะเกร็ด บางกรวย บางพลัด และเชียงราก ซึ่งน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าสู่บ้านเรือนและถนนในหลายจุด สอดคล้องกับการคาดการณ์เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
กรมชลประทานรายงานเพิ่มเติมว่า ปริมาณน้ำเหนือจากนครสวรรค์และชัยนาทยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย และอาจต้องเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาเป็น 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งผลให้ระดับน้ำในเจ้าพระยาตอนล่างเพิ่มขึ้นอีก 20-30 เซนติเมตร หน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่เสี่ยงจึงเร่งเสริมแนวกระสอบทรายและติดตั้งเครื่องสูบน้ำตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ในช่วงวันที่ 4-10 พฤศจิกายน 2568 ประเทศไทยมีพื้นที่น้ำท่วมแล้วกว่า 2.39 ล้านไร่ โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด มีบ้านเรือนกว่า 47,000 หลังเสียหาย และประชาชนกว่า 7 แสนคนได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำปีนี้

