xs
xsm
sm
md
lg

เมินใช้คนละครึ่งพลัส 4.6 แสน 11 พ.ย.วันสุดท้ายก่อนริบสิทธิ์ ส.ภัตตาคารเผยกระตุ้นคนฐานราก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



พบยอดใช้จ่ายคนละครึ่งพลัส ใช้สิทธิแล้ว 19 ล้านราย ใช้หมดวงเงินเกือบ 1.9 แสนราย แต่ยังมีอีก 4.6 แสนรายยังไม่ใช้จ่ายครั้งแรก ต้องใช้จ่ายภายในพรุ่งนี้ (11 พ.ย.) ก่อนถูกริบสิทธิ ด้านรองนายกฯ และ รมว.คลัง เผยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วเกือบ 1 แสนล้าน ขณะที่สมาคมภัตตาคารไทย ชี้เห็นผลกว่าโครงการเที่ยวดีมีคืน กระตุ้นคนฐานราก

วันนี้ (10 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า กระทรวงการคลัง เปิดเผยการใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส ณ เวลา 23.00 น. วันที่ 9 พ.ย. ว่า มีการใช้จ่ายตามสิทธิไปแล้วกว่า 19 ล้านคน จากยอดมีผู้สิทธิทั้งสิ้น 20 ล้านคน แต่ยังมีประชาชนที่ได้รับสิทธิ กลับไม่ได้เริ่มใช้จ่ายตามสิทธิครั้งแรก จำนวน 463,743 คน ซึ่งจะต้องเริ่มใช้จ่ายภายในเวลา 23.00 น. ของวันที่ 11 พ.ย. 2568 นี้ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ

ส่วนยอดการใช้จ่ายสะสมภายใต้โครงการอยู่ที่ 27,552.3 ล้านบาท ประกอบด้วย ร้านค้าปกติ 27,248.6 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินที่ภาครัฐร่วมจ่าย จำนวน 13,595.5 ล้านบาท และเงินที่ประชาชนจ่ายเอง จำนวน 13,956.8 ล้านบาท ส่วนร้านค้าผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี 303.7 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินที่ภาครัฐร่วมจ่าย จำนวน 148.5 ล้านบาท และเงินที่ประชาชนจ่ายเอง จำนวน 155.2 ล้านบาท ขณะที่มีร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบและเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 882,721 รายทั่วประเทศ

นอกจากนี้ รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า มีประชาชนใช้สิทธิครบวงเงินหมดแล้วรวมเกือบ 190,000 ราย โดยพบว่าเป็นประชาชนผู้ไม่ยื่นแบบภาษีทั้งหมด ซึ่งได้รับวงเงินสูงสุด 2,000 บาท ส่วนประชาชนผู้ยื่นแบบภาษี ซึ่งได้รับวงเงินสูงสุด 2,400 บาท ยังใช้วงเงินไม่หมด

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวปฐกถาพิเศษในงาน "จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย" ซึ่งจัดโดยสื่อในเครือผู้จัดการ ระบุว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ร่วมมือกับภาคเอกชน เริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้นอย่างมาก โดยในเชิงธุรกิจสามารถก้าวได้เร็วขึ้น ขณะที่ในเชิงประเทศก็ต้องเตรียมความพร้อมที่จะเร่งผลักดันให้สัญญาณนี้ยังเป็นสัญญาณที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อไป หนึ่งในโครงการสำคัญที่รัฐบาลเร่งผลักดัน คือ โครงการคนละครึ่ง พลัส กระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท ช่วยให้บรรยากาศเศรษฐกิจทั่วประเทศเริ่มกระตุกขึ้นมา ซึ่งดำเนินการโดยไม่ได้มีการกู้เงินใหม่ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเข้มข้น

"สิ่งที่รัฐบาลเห็นในวันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา คือ สัญญาณเศรษฐกิจที่แผ่วมาก เหมือนชีพจรที่เต้นเบาจนเกือบจะดับ เศรษฐกิจไทยเหมือนจะดิ่งเหว แม้จะยังไม่ถึงกับตกเหว แต่ก็ติดหล่ม เหลืออยู่อีกนิดเดียวก็จะตกเหว และจากการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งหมดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 ที่จากเดิมคาดว่าจะโตได้ 0.3% เกือบจะดิ่งเหว ขยับขึ้นมาได้เป็น 1.1% นี่เป็นสัญญาณเศรษฐกิจแรกที่เห็น" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ

ส่วน น.ส.ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า โครงการเที่ยวดีมีคืน ที่ให้ลูกค้าขอใบกำกับภาษีเต็มรูปจากร้านอาหารที่ร่วมโครงการ เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 30,000 บาทนั้น ทำให้ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมเริ่มคึกคักขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับผลของโครงการคนละครึ่งพลัส ที่เห็นเม็ดเงินใช้จ่ายได้ทันทีผ่านระบบของกระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย และแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี ขณะที่โครงการเที่ยวดีมีคืน ต้องรอการคืนภาษีก่อนประชาชนจะรับรู้ถึงผลประโยชน์ จึงยังไม่สามารถวัดการใช้จ่ายได้ชัดเจน

ทั้งนี้ โครงการเที่ยวดีมีคืน ช่วยกระตุ้นผู้มีรายได้สูงให้กล้าใช้จ่าย แต่ส่วนใหญ่จะเลือกใช้กับร้านอาหารหรือโรงแรมราคาสูง เพื่อให้คุ้มค่ากับสิทธิในการลดหย่อนภาษี ขณะที่คนฐานรากได้อานิสงส์จากโครงการคนละครึ่ง พลัส ทำให้ร้านค้าที่ตอบโจทย์ทั้งสองกลุ่มแยกชัดเจน ส่วนร้านระดับกลางอาจยังไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร ขณะที่ผู้ประกอบการเห็นว่าโครงการได้ปรับตัวเป็นกินดีมีคืนมากกว่า เพราะคนใช้สิทธิเน้นการรับประทานอาหารในเมืองหลักเป็นหลัก ส่วนเมืองรองอาจคึกคักน้อย เนื่องจากมีร้านอาหารและโรงแรมจำกัด แต่รัฐบาลตั้งใจให้เกิดการกระจายการใช้จ่ายไปยังเมืองรองด้วย ซึ่งยังต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจสิทธิประโยชน์มากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม

นอกจากนี้ น.ส.ฐนิวรรณ ยังเสนอแนะรัฐบาลให้พิจารณาประเด็นที่ร้านค้ายังกังวลเกี่ยวกับการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งหากต้องบวก 7% เข้าไปในราคาอาหาร ลูกค้าอาจไม่ยอมจ่ายเนื่องจากราคาสูงขึ้น ทางสมาคมฯ จึงเห็นว่า รัฐบาลควรใช้วิธีสร้างแรงจูงใจ อาทิ ขยายเพดานการเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จากเดิมกำหนดไว้ 1.8 ล้านบาทต่อปี เพิ่มเป็น 3 ล้านบาทต่อปี
กำลังโหลดความคิดเห็น