เตือนภัยริมน้ำเจ้าพระยา เขื่อนเพิ่มระบายน้ำแตะ 2,800 ลบ.ม. ประจวบเหมาะน้ำทะเลหนุนสูง เสี่ยงเอ่อล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ขณะที่ ครม. เตรียมพิจารณางบเยียวยาเพิ่มเติมช่วยเหลือผู้ประสบภัย บรรเทาความเดือดร้อนประชาชน
สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ภายหลังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ออกประกาศเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ริมน้ำเตรียมรับมือกับระดับน้ำที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากทั้งการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาและปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุว่า ปัจจัยทั้งสองอย่างอาจส่งผลให้หลายพื้นที่ลุ่มต่ำริมตลิ่งได้รับผลกระทบจากน้ำเอ่อล้นตลิ่งในช่วงสัปดาห์นี้
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน เขื่อนเจ้าพระยาได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำอยู่ที่ 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูงจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี โดยเฉพาะในอำเภอเมืองปทุมธานีและอำเภอสามโคก รวมถึงจังหวัดนนทบุรีในเขตอำเภอปากเกร็ดและอำเภอเมืองนนทบุรี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจึงเน้นย้ำให้ประชาชนในพื้นที่ริมแม่น้ำ คลองสาขา และที่ลุ่มต่ำเตรียมป้องกันผลกระทบอย่างเร่งด่วน ตรวจสอบพนังกั้นน้ำหรือคันกั้นน้ำในพื้นที่ หากพบรอยรั่วหรือชำรุดให้รีบแจ้งหน่วยงานในพื้นที่ทันที พร้อมทั้งขอให้หลีกเลี่ยงการกลับรถหรือสัญจรในจุดที่มีน้ำท่วมขัง และช่วยกันดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วย
ด้านการเยียวยาผู้ประสบภัย นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับให้เร่งดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติจ่ายเงินเยียวยาไปแล้วกว่า 6 แสนครัวเรือน รวมวงเงินกว่า 6 พันล้านบาท ขณะเดียวกัน ครม. เตรียมพิจารณาเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน 30 วัน 60 วัน และ 90 วัน ครอบคลุม 17 จังหวัด รวม 124,430 ครัวเรือน วงเงินรวมกว่า 463 ล้านบาท โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะเป็นหน่วยงานหลักในการรับงบประมาณและดำเนินการจ่ายเงินผ่านธนาคาร
ในส่วนของการบริหารจัดการน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) รายงานว่ายังคงมีการจัดสรรการระบายน้ำจากเขื่อนหลักอย่างสอดคล้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนมากเกินไป โดยยืนยันว่าการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลจะไม่ทำให้ระดับน้ำสูงสุดในเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น ขณะที่เขื่อนสิริกิติ์ยังมีพื้นที่กักเก็บน้ำเพียงพอที่จะรองรับปริมาณน้ำหลากจากตอนเหนือได้อีก