เที่ยวบิน 1,550 ไฟลต์ในอเมริกาถูกยกเลิก ขณะที่อีก 6,700 ไฟลต์มีปัญหาล่าช้าเมื่อวันเสาร์ (7 พ.ย.) หลังรัฐบาลสหรัฐฯเริ่มบังคับใช้คำสั่งลดเที่ยวบินภายในประเทศ ของท่าอากาศยานใหญ่ๆ หลายสิบแห่งอันเนื่องมาจากการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ เพราะการชัตดาวน์ที่กำลังยืดเยื้อยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ นอกจากสร้างความกระทบกระเทือนภายในสหรัฐฯแล้ว การปิดทำงานหน่วยงานรัฐบาลกลางอเมริกันเนื่องจากขาดงบประมาณระลอกนี้ ยังกำลังส่งผลถึงพวกลูกจ้างต่างชาติในฐานทัพอเมริกันในยุโรปหลายประเทศที่ถูกบีบให้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกัน
สำนักงานบริหารการบินของอเมริกา (เอฟเอเอ) แถลงในวันเสาร์ว่า ปัญหาการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ ส่งผลกระทบต่อหอบังคับการบินของสนามบินและศูนย์การบินอื่นๆ รวม 42 แห่ง และส่งผลให้เที่ยวบินล่าช้าในสนามบินใหญ่อย่างน้อย 12 แห่งทั่วประเทศ ที่รวมถึงสนามบินในแอตแลนตา นวร์ก ซานฟรานซิสโก ชิคาโก และนิวยอร์ก ตลอดจนถึงเที่ยวบินระหว่างสนามบินที่มีผู้ใช้บริหารหนาแน่นอีก 6 แห่ง
วันเสาร์มีเที่ยวบินถูกยกเลิก 1,550 เที่ยว และล่าช้า 6,700 เที่ยว เปรียบเทียบกับวันศุกร์ (7 ) ที่มีเที่ยวบินถูกยกเลิก 1,025 เที่ยว และล่าช้า 7,000 เที่ยว
ทั้งนี้ เอฟเอเอสั่งให้สายการบินต่างๆ ลดเที่ยวบินในประเทศที่ขึ้นลงสนามบินหลักแห่งต่างๆ ลง 4% เมื่อวันศุกร์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการควบคุมจราจรทางอากาศ อันเป็นผลมาจากการชัตดาวน์ซึ่งเมื่อถึงวันเสาร์ก็ย่างเข้าสู่วันที่ 39 ทำให้ขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางกาศซึ่งไม่ได้รับค่าตอบแทนมาหลายสัปดาห์เช่นเดียวกับลูกจ้างหน่วยงานรัฐบาลกลางอีกหลายแห่ง
ไม่เพียงเท่านั้น ภายใต้มาตรการใหม่ของเอฟเอเอ จะมีการลดเที่ยวบินเพิ่มเป็น 6% ในวันอังคาร (11) และเพิ่มเป็น 10% ในวันศุกร์ (14)
ปัญหานี้ยังทำให้เอฟเอเอต้องบังคับใช้โครงการหน่วงเวลาปล่อยเครื่องบินขึ้นจากภาคพื้นดิน (จีดีพี) ในสนามบิน 9 แห่งเมื่อวันเสาร์ที่รวมถึงที่แอตแลนตา ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามบินที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในอเมริกา ด้วยเวลาหน่วงเฉลี่ย 282 นาทีสำหรับแต่ละเที่ยวบิน
การลดเที่ยวบินที่เริ่มต้นเมื่อเช้าศุกร์ครอบคลุมเที่ยวบินราว 700 เที่ยวจากสายการบินใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 4 ราย ได้แก่ อเมริกัน แอร์ไลนส์, เดลตา แอร์ไลนส์, เซาธ์เวสต์ แอร์ไลนส์ และยูไนเต็ด แอร์ไลนส์
ก่อนหน้านี้ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ไบรอัน เบดฟอร์ด ผู้อำนวยการเอฟเอเอ เผยว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ 20-40% ขาดงานต่อเนื่องนานหลายวัน
นับจากที่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ปิดทำการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ต.ค. เนื่องจากงบประมาณฉบับปีที่แล้วหมดอายุลง ขณะที่รัฐสภาไม่สามารถตกลงกันเพื่อผ่านงบประมาณของปีงบประมาณใหม่ แม้กระทั่งร่างงบประมาณฉบับฉุกเฉินชั่วคราว พวกเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ 13,000 คน และเจ้าหน้าที่คัดกรองด้านความปลอดภัย 50,000 คนถูกบีบให้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ทำให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้จำนวนมากเลือกลาหยุด นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศยังได้รับแจ้งเมื่อวันพฤหัสฯ (6 พ.ย.) ว่า จะไม่ได้รับค่าตอบแทนรอบที่สองติดต่อกันในสัปดาห์หน้า
ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีคมนาคม เตือนว่า อาจต้องลดเที่ยวบินเพิ่มเป็น 20% ถ้าเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศลาหยุดเพิ่มขึ้น
ทางพรรครีพับลิกันพยายามกดดันวุฒิสมาชิกเดโมแครตให้สนับสนุนร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ของรัฐบาลโดยไม่พ่วงประเด็นอื่นในการโหวต แต่เดโมแครตกล่าวหารีพับลิกันไม่ยอมเจรจาประนีประนอมในเรื่องข้อเรียกร้องของฝ่ายตน ซึ่งต้องการให้ต่ออายุมาตรการอุดหนุนการประกันสุขภาพที่จะสิ้นสุดปลายปีนี้ ถึงแม้ในระยะไม่กี่วันหลังๆ มานี้ ทั้งสองฝ่ายดูจะมีท่าทีอ่อนลงบ้าง ส่งผลให้ส.ว.ทั้งสองพรรคนัดหมายหารือกันในช่วงวันหยุดสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก อย่างไรก็ดี ในวันเสาร์ พวกเขายังคงไม่สามารถประนีประนอมหาทางออกได้อยู่ดี
กระนั้น ส.ว. จอห์น ธูน ของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา เปิดเผยว่า สภาสูงจะพยายามอีกครั้งในวันอาทิตย์ (9 พ.ย.)
ในอีกด้านหนึ่ง การชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาครั้งนี้ยังกำลังส่งผลกระทบต่อลูกจ้างต่างชาติในฐานทัพอเมริกันในยุโรป เช่น ที่อิตาลีและโปรตุเกส ที่ต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนนับจากต้นเดือนต.ค.เป็นต้นมา
อย่างไรก็ดี ในบางประเทศ เช่น เยอรมนี รัฐบาลได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยการจ่ายเงินเดือนให้ลูกจ้างในฐานทัพอเมริกันเกือบ 11,000 คน โดยหวังว่า ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถแก้ปัญหาได้และจ่ายเงินคืนให้
ทั้งนี้ งานที่ลูกจ้างต่างชาติในฐานทัพอเมริกันทั่วโลกรับผิดชอบมีตั้งแต่บริการด้านอาหาร การก่อสร้าง ลอจิสติกส์ การซ่อมบำรุง และบทบาทเฉพาะทางอื่นๆ บางกรณีลูกจ้างต่างชาติได้รับการว่าจ้างจากบริษัทเอกชนที่เป็นผู้รับเหมาทำสัญญาจ้างจากรัฐบาลสหรัฐฯ แต่บางกรณีรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เป็นผู้ว่าจ้างโดยตรง
(ที่มา: รอยเตอร์/เอพี)

