xs
xsm
sm
md
lg

โปรแรง! ล้างหนี้ต่ำแสน 2.36 ล้านบัญชี ล้างประวัติ วนลูปกู้ใหม่ ก่อหนี้ใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การแก้หนี้เป็นปัญหาโลกแตก จึงไม่แปลกที่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย หยิบเรื่องนี้มาเร่งสร้างผลงานชิ้นโบแดงก่อนยุบสภา เรียกว่าจัดโปรแรงทั้ง “ลดต้น-ลดดอก-งดดอก” ส่งท้ายปีกันเลยทีเดียว ถือเป็น “วิน – วิน” ของลูกหนี้และเจ้าหนี้ ที่จะได้ล้างประวัติแล้วกลับมากู้กันใหม่ได้อีก

ส่วนฝั่งพรรคเพื่อไทยก็จับจังหวะโหมแคมเปญ“สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน”ท้าชน หวังกู้ศรัทธา เรียกคะแนนนิยมคืน แต่เจอกระแสโซเซียลแซะแรงแปลงสารเป็น“ล้างโอกาส สร้างหนี้ ไม่มีกิน”จะหยิบจับอะไรก็ไม่เข้าตา ทั้งที่ก่อนหน้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็ขมีขมันแก้ปัญหาหนี้ ซึ่งถึงที่สุดก็พายเรือวนในอ่าง ไม่ต่างกันกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศสงครามแก้ปัญหาหนี้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ผลงานกลับทรงและทรุด ด้วยว่าหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยพุ่งทะยานติดอันดับต้น ๆ ของโลก

สำหรับมาตรการแก้หนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดไหน ก็ล้วนแล้วแต่ต้องผ่านกระบวนการประชุมปรึกษาหารือระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และภาคสถาบันการเงิน ซึ่งก็คือ ธนาคารของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ ก่อนจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติทั้งสิ้น คราวนี้มาดูกันว่ารัฐบาลพรรคภูมิใจไทย มีมาตรการแก้หนี้กันอย่างไร ใส้ในจะต่างจากที่ผ่าน ๆ มาหรือไม่

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ หรือ “คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ” ได้ประชุมหารือและเห็นชอบโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) สอดรับกับที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งกำหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชน เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ต้องแก้ไขโดยเร็ว

โครงการดังกล่าว กระทรวงการคลัง ได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคสถาบันการเงิน จัดทำ มีเป้าหมายหลัก คือ การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ หลุดพ้นจากสถานะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเร็ว มีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต และเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป

การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนในครั้งนี้ มุ่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่มีภาระหนี้ NPLs ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งมีจำนวนรวมประมาณ 3.45 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี เป็นภาระหนี้ประมาณ 122,000 ล้านบาท สำหรับแนวทางการให้ความช่วยเหลือ แบ่งเป็น

กลุ่มที่หนึ่งการดำเนินการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้โดย AMC โดยลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ลูกหนี้ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของ ธพ. และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ของรัฐ หรือ แบงก์รัฐ จะได้รับการช่วยเหลือผ่านกลไกการขายและโอนหนี้ให้กับ AMC ที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ 1.บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และ 2.บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) โดย กำหนดให้ AMC นำหนี้ดังกล่าวมาปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการเสนอเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรนและเหมาะกับความสามารถของคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียม การจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี เป็นต้น

กลุ่มที่สองการช่วยเหลือเพิ่มเติมโดย SFIs ดำเนินการเอง โดย SFIs จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคาร เพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ SFIs เนื่องจากลูกหนี้ของ SFIs กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของ ธพ. หรือได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านกลไกอื่นแล้ว ดังนั้น SFIs จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม เช่น มาตรการชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี, ลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด, มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร, การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ เป็นต้น

ทั้งนี้ การดำเนินการในสองส่วนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะทำให้ภาครัฐมีโครงการเพื่อช่วยลูกหนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และช่วยเหลือลูกหนี้ให้หลุดพ้นจากภาระหนี้ต่าง ๆ ได้โดยเร็ว ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ คาดว่ามีบัญชีลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้น ประมาณ 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท

ส่วนเฟสต่อไป จะพิจารณาขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-banks ตามหลักการเดียวกัน เพื่อให้นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทั้งหมด

โครงการนี้รัฐบาลมั่นใจว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประชาชนรายย่อย ซึ่งมีปัญหาภาระหนี้จนส่งผลกระทบต่อชีวิตและเป็นปัญหาสังคมและเศรษฐกิจโดยภาพรวม จะสามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เนื่องจากได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรนและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลับมาเป็นลูกหนี้ที่มีประวัติชำระปกติมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต ไม่ต้องพึ่งพิงสินเชื่อนอกระบบที่อาจมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม

หลังจาก ครม.เศรษฐกิจ เห็นชอบโครงการดังกล่าวแล้ว จะนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ชุดใหญ่ และมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง ธปท. สมาคมธนาคารไทย และบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นี้ เพื่อกำหนดมาตรฐานกลางและเริ่มกระบวนการโอนหนี้อย่างเป็นทางการ

โครงการนี้ ยังถือเป็นผลงานสำคัญชิ้นแรก ๆ ของ“ผู้ว่าฯ ธปท.”คนใหม่ ซึ่งนายวิทัย รัตนากรผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนั้น ธปท. จึงได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เพื่อดำเนินโครงการแก้ไขหนี้ครัวเรือนร่วมกัน โดยโครงการนี้ใช้เวลาเตรียมการประมาณหนึ่งเดือนเศษ เพื่อมุ่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในสองมิติ คือ มิติด้านปริมาณหนี้ ซึ่งมีสัดส่วนราว 87% ของจีดีพี และมิติลูกหนี้ NPL ซึ่งไม่สามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหรือขอสินเชื่อใหม่ได้ โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยที่ยอดหนี้ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท ซึ่งมีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของลูกหนี้เอ็นพีแอล หรือราว 4.76 ล้านบัญชี

ผู้ว่าฯ ธปท. ขยายความเพิ่มเติมว่า เฟสแรก โครงการนี้จะเริ่มดำเนินการกับหนี้จำนวนรวมประมาณ 2.36 ล้านบัญชี โดยจะโอนไปบริหารจัดการในสองบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยเป็นหนี้เสียที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 30 กันยายน 2568 และการจัดการหนี้จะใช้แนวทาง “ผ่อนปรนมากเป็นพิเศษ” เพื่อให้ลูกหนี้ชำระคือได้ตามศักยภาพ ทั้งการจ่ายปิดบัญชีครั้งเดียว หรือผ่อนชำระเป็นรายปี พร้อมอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังคงยึดหลักการไม่ให้เสียวินัยทางการคลัง

“....นี่จะเป็นมาตรการครั้งเดียวเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง และป้องกันไม่ให้ระบบการเงินขาดวินัยในอนาคต...” ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวด้วยความเชื่อมั่น

เช่นเดียวกันกับนายลวรณ แสงสนิทปลัดกระทรวงการคลัง ชี้ว่า โครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง ธปท. และสมาคมธนาคารไทย ครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้อย่างแท้จริง โดยมีความแตกต่างจากการโอนหนี้หรือขายหนี้ให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) แบบเดิม เนื่องจากครั้งนี้จะมีเงื่อนไขการผ่อนปรนเป็นพิเศษ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถรอด และกลับไปเริ่มต้นชีวิตหรือทำธุรกิจใหม่ได้อีกครั้ง

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และภาคสถาบันการเงิน จัดทำโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC)

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่เปิดแคมเปญ “สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน
นอกจากนั้น โครงการนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ในการกำหนด“รหัสพิเศษ”ให้กับลูกหนี้ที่เข้าร่วม โดยจะใช้รหัส “16” เพื่อระบุว่าเป็นกลุ่มลูกหนี้ในโครงการช่วยเหลือ ซึ่งจะไม่ถูกจำกัดว่าต้องมีประวัติการชำระหนี้ดีครบ 3 ปีก่อน จึงจะสามารถขอสินเชื่อใหม่ได้ และหากลูกหนี้ที่อยู่ในโครงการสามารถชำระหนี้ได้ดีต่อเนื่อง เช่น 1 เดือน 3 เดือน หรือ 6 เดือน และสถาบันการเงินเห็นศักยภาพในการฟื้นตัว ก็สามารถพิจารณาปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทันที ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลับมาตั้งหลักและสร้างอนาคตใหม่ได้อย่างยั่งยืน

ทางด้านนายสุรพล โอภาสเสถียรผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร เผยว่า โครงการดังกล่าว มีหลักการคือ จะโอนหนี้เสียภาคประชาชนรายละไม่เกิน 1 แสนบาท เข้าไปสู่การแก้ไขผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บบส.) หรือ SAM และ Ari-AMC ของธนาคารออมสิน เรียกว่าเป็นการดำเนินการเพื่อสังคม

ในส่วนของเครดิตบูโร จะมีแนวทางดำเนินการสำหรับลูกหนี้ที่เข้าโครงการกับ AMC เพื่อสังคม เรียกว่า “โปรไฟไหม้” โดยลูกหนี้ที่เข้าโครงการและมีการชำระหนี้ปิดจบ ตามเงื่อนไขของโครงการ จะได้รับรหัส 11 ซึ่งมีสถานะเป็นลูกหนี้ปกติทันที จากปัจจุบันลูกหนี้ที่ระบุในประวัติว่าถูกขายหนี้ให้กับ AMC จะได้รับรหัส 42 และเมื่อมีการปิดจบหนี้เรียบร้อยแล้วจะได้รับรหัส 43 ซึ่งรหัสนี้จะอยู่ติดตัวลูกหนี้ไปเป็นระยะเวลา 3 ปี จึงจะล้างประวัติได้ แนวทางดังกล่าวถือเป็นแรงจูงใจให้กับลูกหนี้ที่ยังพอจ่ายหนี้ตามเงื่อนไขของ AMC ได้ เพื่อให้สามารถมีชีวิตและเดินหน้าต่อไปได้

ผอ.ใหญ่ เครดิตบูโร อธิบายเป็นรูปธรรมโดยสมมุติว่า AMC ซื้อหนี้เสียก้อนหนึ่งมาในราคา 5 บาท และมีเงื่อนไขให้ลูกหนี้มาจ่ายหนี้จำนวน 10 บาท จากก้อนหนี้ของลูกหนี้ 100 บาท ลูกหนี้จะได้รหัส 42 หากจ่ายตามเงื่อนไขแล้วจบกันไป ลูกหนี้จะได้รหัส 43 แต่ประวัติยังค้างอยู่ 3 ปี จึงจะล้างประวัติได้ แต่โปรไฟไหม้ ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ AMC เพื่อสังคม หากยอมมาจ่ายหนี้ 10 บาท ตามเงื่อนไขเพื่อปิดหนี้ เครดิตบูโรจะให้รหัส 11 กับลูกหนี้รายนี้ทันที

แนวทางการล้างประวัติลูกหนี้ดังกล่าวนี้ เครดิตบูโรดำเนินการได้เลย ไม่ต้องมีกติกาหรือกฎหมายใด สอดคล้องกับเงื่อนไขของ ธปท. ที่กำหนดว่าทุกอย่างดำเนินการโดยไม่ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย ให้เป็นอำนาจของแต่ละหน่วยงาน

กระบวนการรีเซทเครดิตใหม่ ล้างประวัติหนี้ผ่านกลไกของเครดิตบูโร เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาขอสินเชื่อใหม่ได้ภายใน 1-6 เดือน จะช่วยฟื้นฟูอนาคตของลูกหนี้ และฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว โดยโครงการแก้หนี้ผ่าน AMC รัฐบาลยืนยันว่าไม่ใช้เงินภาษีของประชาชน แต่ใช้แหล่งเงินจากการลดอัตรานำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงิน (FIDF) จาก 0.46% เหลือ 0.23% แล้วนำส่วนต่างมาใช้เป็นต้นทุนบริหารโครงการ ในลักษณะ “ครั้งเดียวจบ” ไม่สร้างภาระการคลังในอนาคต

สำหรับบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM)ตัวหลักในการแก้หนี้ของโครงการนี้ จัดตั้งขึ้นหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 ตามมติคณะรัฐมนตรี 2543 ภายใต้การกำกับของ ธปท. เพื่อรับโอน NPL จากธนาคารกรุงไทย และมีบทบาทสำคัญในการฟื้นเสถียรภาพระบบการเงิน ส่วน Ari-AMC เป็น AMC ภาครัฐรุ่นใหม่ที่ต่อยอดบทบาทด้านฟื้นฟูลูกหนี้รายย่อย

นายผยง ศรีวณิชประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยชี้ว่า การแก้หนี้ผ่าน AMC นับเป็นการเปลี่ยนแนวคิดการบริหารหนี้ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี จากเดิมที่เน้นการจัดการหนี้เป็นก้อนของสถาบันการเงิน มาเป็นการจัดการลูกหนี้เป็นรายบุคคล มองลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ติดกับดักหนี้ โดยพิจารณาศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้จริง เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับมาอยู่ในระบบการเงินได้อย่างยั่งยืน

สำหรับธนาคารกรุงไทย มีหนี้กลุ่มไม่มีหลักประกันแต่ไม่เยอะมาก ซึ่งหากมีหนี้กลุ่มที่เข้าข่ายแก้หนี้ผ่านกลไก SAM ก็จะส่งให้ SAM บริหาร ส่วนการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินและบริษัท บริหารสินทรัพย์ (JVAMC) อยู่ระหว่างพิจารณา จะต้องรอรายละเอียดของ ธปท.อีกครั้ง

ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย ถือเป็นโจทย์ใหญ่และเปราะบางของเศรษฐกิจไทย ล่าสุด สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ประมาณ 88% แต่หากเจาะลงไปในระบบธนาคารพาณิชย์ ยอด Gross NPL ทั้งระบบ ณ ไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 521,665 ล้านบาท หรือประมาณ 2.83% ของสินเชื่อรวม ส่วนผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนพุ่งแตะ 740,000 บาท สูงสุดในรอบ 4 ปี ไม่นับรวมหนี้นอกระบบ

ขณะที่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย กำลังจะคิกออฟมาตรการล้างหนี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ทางพรรคเพื่อไทย ก็ไม่น้อยหน้ารีบออกแคมเปญใหม่ “สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน” โดย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศเตรียมความพร้อมเพื่อเรียกคะแนนนิยมรับศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งยังคงเน้นแก้ปัญหาปากท้อง ความเป็นอยู่ และโอกาสทางเศรษฐกิจของประชาชน

ถ้ามองย้อนกลับไป พรรคเพื่อไทย ได้โพนทะนานโยบาย “สร้างโอกาสที่เป็นไปได้” ทำให้คนไทย “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” ก่อนที่จะลงเอยแบบไม่สมราคาคุย จึงไม่น่าแปลกประหลาดใจแต่อย่างใดที่ครานี้กระแสโซเซียลจะแปลงสารแคมเปญพรรคเพื่อไทย ในทันทีว่า “ล้างโอกาส สร้างหนี้ ไม่มีกิน” แถมประเมินว่าเลือกตั้งครั้งหน้ามีโอกาสต่ำร้อยอีกต่างหาก

ศึกล้างหนี้ในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า จะเรียกคะแนนนิยมให้สองพรรคใหญ่สักกี่มากน้อย จะสู้กระแสปั่น “มีเราไม่มีเทา” ของพรรคประชาชน ได้หรือไม่ รอติดตามกันต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น