รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง คาดจีดีพีปีนี้โตขึ้นเกิน 2% ผลพวงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านบัตรสวัสดิการฯ-คนละครึ่ง พลัส-เที่ยวดีมีคืน เตรียมดันแก้หนี้ครัวเรือน ซื้อหนี้เสียประชาชนรายย่อย พร้อมให้ ธ.ก.ส.ตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ภายใน แก้หนี้เสียเกษตรกร ฟื้นการลงทุน ใช้กองทุน TFF ทำโครงการโซลาร์ลอยน้ำ กฟผ.ไม่ต้องกู้เงิน
วันนี้ (6 พ.ย.) ที่พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวปาถกฐาพิเศษในงานสัมมนาของสำนักข่าวเดอะสแตนดาร์ด ว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง พลัส และโครงการเที่ยวดีมีคืน จึงมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่ม จากเดิมที่คาดว่าไตรมาส 4/2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 0.3% เท่านั้น แต่ขณะนี้มั่นใจว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 1% ส่งผลให้ทั้งปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เกิน 2%
หลังจากนี้ รัฐบาลได้เร่งเดินหน้าเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียภาคประชาชน ผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยโดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ในกลุ่มประชาชนที่มีหนี้เสีย (NPL) ต่ำกว่า 1 แสนบาท โดยดึงเม็ดเงินที่เหลือจากโครงการคุณสู้ เราช่วย กว่า 20,000 ล้านบาท มาซื้อหนี้เสียดังกล่าว โดยจะมีมาตรการตัดต้น ลดดอก ยืดอายุหนี้ และหากลูกหนี้มีวินัยผ่อนชำระดี ก็จะมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อใหม่ในระบบได้ด้วย ถือเป็นการสร้างโอกาสให้ลูกหนี้กลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง และถือเป็นการแก้หนี้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการในเฟสแรก กับลูกหนี้ NPL ของธนาคารพาณิชย์, ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และนอนแบงก์ เฉพาะที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์รวมประมาณ 2 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้รวม 6 หมื่นล้านบาท จากจำนวนลูกหนี้ที่อยู่ในข่ายทั้งหมด 3.5 ล้านราย คิดเป็น 4.7 ล้านบัญชี มูลหนี้รวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเร่งจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ภายใน (AMC) เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้เสียของลูกหนี้ภาคเกษตร ราว 1 แสนราย มูลหนี้ราว 7-8 พันล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเดือน พ.ย.นี้ สาเหตุเพราะสินเชื่อภาคเกษตรมีความเฉพาะตัว ไม่เหมือนสินเชื่อทั่วไป ที่ผ่านมาได้หารือกับนายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง ธ.ก.ส. มีความพร้อมและเตรียมทำการบ้านมาแล้วส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งที่รัฐบาลเร่งดำเนินการต่อ คือ การลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งเป็นเสาที่ 5 ของรัฐบาล ยอมรับว่าที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้มีการลงทุนมานาน จึงไม่มีแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโต ส่วนหนึ่งมาจากไม่มีงบประมาณพอที่จะลงทุน เนื่องจากฐานะการคลังมีจำกัด เป็นเหตุผลที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้ปรับ Outlook ของไทยลง แต่สิ่งที่รัฐบาลเห็นทางออก คือการใช้เครื่องมือทางการเงินที่ไม่ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะมาช่วย เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF)
หนึ่งในโครงการสำคัญที่สามารถดำเนินการผ่านกองทุน TFF คือ โครงการโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยนำรายได้ในอนาคต (Future Income) จากโครงการดังกล่าวมาขายให้กับนักลงทุนบางส่วน ช่วยให้มีเงินทุนนำไปขยายการลงทุนในพลังงานสะอาดใหม่เพิ่มขึ้น โดยที่ กฟผ. ไม่ต้องกู้เงิน ไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ และไม่เป็นภาระต่องบประมาณ
นอกจากนี้ จะเร่งเพิ่มทักษะของแรงงานไทย เตรียมดึงเม็ดเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อมาใช้ในการ Up-Skill และ Re-Skill ให้แรงงานไทยเก่งขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีการเร่งปลดล็อกกฎ กติกา และระเบียบต่าง ๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนผ่านการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ยังมีเม็ดเงินค้างท่ออีกราว 4.7 แสนล้านบาท เพื่อเร่งผลักดันเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว

