xs
xsm
sm
md
lg

ลอกคราบ “นายกฯ หนู” ยกแผ่นดินให้เขมร-ไม่เลิก MOU ไม่ได้ใจร้ายแต่ผิดจริยธรรมอย่างแรง?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ส่วนของกัมพูชาที่ล้ำมาฝั่งไทยก็มี และส่วนของฝั่งไทย ทีล้ำไปฝั่งกัมพูชาก็มีเช่นกัน

“หากจะแฟร์ ก็ต้องแฟร์ทั้งสองฝ่าย และถ้าตกลงได้แล้ว มีของเราล้ำเข้าไป เราก็ต้องกลับมา และรัฐบาลไทยต้องจัดหาที่อยู่ให้กับคนที่ล้ำเข้าไปฝั่งกัมพูชา เช่นเดียวกันกับฝั่งกัมพูชา”


เรียกว่า เดือดกันไปทั้งประเทศหลังได้ยินคำให้สัมภาษณ์ของ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล”นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เต็ม 2 รูหู พร้อมทั้งเรียกร้องให้ “นายกฯ หนู” ออกมาบอกให้ชัดๆ ว่า ไทยไปล้ำดินแดนของกัมพูชาที่แห่งหนตำบลไหน เพราะที่ผ่านมามีแต่ฝ่ายกัมพูชาเท่านั้นที่รุกล้ำอธิปไตยของไทย ดังปรากฏหลักฐานการทำหนังสือประท้วงว่า กัมพูชาละเมิด MOU 2543 หลายร้อยครั้ง

ที่เห็นกันชัดๆ คือ บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ที่จนป่านนี้รัฐบาลนายอนุทิน ก็ยังไม่มีปัญหาไปไล่ชุมชนกัมพูชาพ้นจากผืนแผ่นดินไทย โดยสิ่งเดียวที่มีความคืบหน้าก็คือ การที่นายอนุทินบินไปลงนามสัญญาสันติภาพร่วมกับ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ภายใต้แรงบีบของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อย่างว่านอนสอนง่าย

เสียงก่นด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ทำให้ “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ”โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาแก้ตัวแทนว่า “นายกฯ หนู” ไม่ได้พูดว่า “ไทยรุกล้ำแดนกัมพูชา” เพียงเปรียบเทียบการบริหารจัดการที่เป็นธรรม หากกัมพูชารุกล้ำไทย ต้องมีแผนหาที่อยู่ใหม่ให้คนของตัวเอง

สุดท้ายนายอนุทินต้องออกมาแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ ว่า ที่พูดนั้น หมายถึงพื้นที่อ้างสิทธิ์ ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์กันอยู่ เราก็ทำให้มันเคลียร์ไป ก็ขอขอโทษด้วยที่ทำให้เกิดความสับสน ตนเองต้องการจะบอกว่า ทุกอย่างทั้งสองฝ่ายต้องทำตาม

ทว่า ก็ไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิ์” ก็คือดินแดนของราชอาณาจักรไทยที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างโดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

ที่สำคัญคือ ต้องบอกว่า คำพูดของนายอนุทินช็อกความรู้สึกของคนไทยเสียยิ่งกว่ากรณีคลิปบทสนทนาระหว่าง“แพทองธาร ชินวัตรกับฮุนเซน”ที่บอกว่า“อังเคิลอยากได้อะไรหลานจัดให้”เสียอีก ด้วยส่งผลกระทบกับอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยรุนแรงเพราะไปยอมรับว่าไทยรุกล้ำดินแดนของกัมพูชา

แถมบังเอิญอย่างร้ายกาจที่คำพูดของนายอนุทินไปตรงกับสิ่งที่ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชาโพสต์ภาพแผนที่บริเวณชายแดนบ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว ที่มีการระบายเส้นตารางสีเหลืองเลยเส้นสีน้ำเงิน พร้อมระบุชัดว่าเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายไทยรุกล้ำเขตแดนกัมพูชา

ทำให้หลายคนเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับนายอนุทินในประเด็นว่า “ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง”หรือไม่ เหมือนกับที่ดำเนินคดีกับแพทองธาร ชินวัตร ด้วยเป็นการยอมรับสิ่งที่ “ฮุน มาเนต” นำเสนอ ทั้งๆ ที่ทั้งบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วเป็นดินแดนของไทยร้อยเปอร์เซ็นต์

ทำไม “พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนาประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ผู้ซึ่งเป็นหอกยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยคุณสมบัติของแพทองธาร ถึงไม่ยื่นร้องให้ตรวจสอบนายอนุทินบ้าง?

ใช่หรือไม่ว่า เป็นเพราะอยู่ใน “ค่ายสีน้ำเงิน”เหมือนกัน เพราะโดยข้อเท็จจริงนั้น พล.อ. สวัสดิ์เป็นหนึ่งใน 136 สว. ที่มีรายชื่อถูกกล่าวหาใน “คดีโกงเลือก สว.”

สัญญาณประการต่อมาก็คือ การที่อยู่ๆ “ไชยชนก ชิดชอบ”เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม“ลาออก”จาก “ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา สภาผู้แทนราษฎร” เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568

เป็นการลาออกหลังจากที่ก่อนหน้านี้เพียงวันเดียวคือวันที่ 29 ตุลาคม นายปิยรัฐ จงเทพ ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ชุดดังกล่าวเพิ่งออกมาให้ข้อมูลต่อสาธารณชนเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “ในส่วนของ MOU 43 ได้พิจารณาจบไปแล้วในเบื้องต้น ซึ่งจะมีการสรุปออกมาอีกครั้งหนึ่ง โดย MOU 43 มีความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่อยากให้มีการแก้ไข และฝ่ายที่อยากให้ยกเลิก จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าจะแก้ไขได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นความเห็นทางกฎหมาย ส่วนการยกเลิกน่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะจะต้องนำเสนอต่อประชาชนเพราะข้อเท็จจริงบางข้อเป็นข้อมูลลับไม่สามารถเปิดเผยได้ต่อสาธารณะ ดังนั้นการให้ข้อมูลอย่างรอบด้านจึงไม่สามารถทำได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นความลำบากใจของ กมธ.ฯ”

การประกาศว่า ยกเลิกยากมาก คือการส่งสัญญาณโยนหินถามทางในทางการเมือง

ต้องไม่ลืมว่า ก่อนที่ “ลูกชายนายเนวิน” จะเป็นรัฐมนตรี ในช่วงที่เป็นฝ่ายค้าน เขาประกาศอย่างชัดเจนว่า จะยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ แต่เหตุไฉนเมื่ออยู่ในอำนาจและอยู่ในกมธ.ชุดสำคัญจึงตัดสินใจถอยห่างออกมา แถมเป็นการลาออกหลังจากที่ “อาหนู” ออกมาพูดเรื่องที่ไทยไปรุกล้ำดินแดนของกัมพูชาอีกต่างหาก

นั่นแสดงว่า ท่าทีของ “ไชยชนก” ก่อนหน้านี้คือ “การละคร” เพื่อเรียกคะแนนเสียง ขณะเดียวกันก็มิอาจแปลเป็นอื่นได้ว่า พรรคภูมิใจไทยมีธงอยู่ในใจว่า ไม่เลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับมาตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้ว

ที่ผิดสังเกตไม่แพ้กันคือ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม อดีต สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทยคือ“นายนพดล อินนา”ซึ่งปัจจุบันเป็น สว. และประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก เอ็มโอยู 2543 และเอ็มโอยู 2544 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แถลงวว่า ผลการประชุม กมธ. ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าควรที่จะมีการยกเลิกเอ็มโอยู 43 -44 หรือไม่ เนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบถ้วน การตัดสินใจทำในทางใดนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นเรื่องเอ็มโอยู 43 และ 44 ต้องดูให้รอบคอบ รอบด้านโดยไม่มีอคติ หรือใช้อารมณ์ การนำข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์มาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเรื่องนี้ และการที่จะคงอยู่ ปรับปรุง หรือยกเลิก ต้องมีเหตุผลและแนวทางให้กับรัฐบาลในการที่จะดำเนินการต่อไป ถ้าหากยกเลิกต้องนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศว่าขัดต่อข้อใด และเหตุใดจะต้องดำเนินการ

ส่วนผลการศึกษาของ กมธ.จะทันต่อการทำประชามติของรัฐบาลหรือไม่นั้น นายนพดล กล่าวว่า เรื่องการขยายกรอบเวลาในการศึกษาของกมธ.ฯจากเดิม 90 วันก็ขยายต่ออีก 90 วัน แต่หากดำเนินการเสร็จก่อนก็จะดำเนินการรายงานต่อวุฒิสภาทันที และระหว่างการศึกษาจากวันนี้เป็นต้นไปกมธ.ชุดนี้ก็จะพยายามให้ข้อมูลประชาชนให้ได้มากที่สุดถึงข้อดีข้อเสียของเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ และมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้จากกมธ.ชุดนี้ เป็นประโยชน์และส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะคงอยู่หรือยกเลิกเอ็มโอทั้ง 2 ฉบับ

ทั้งนี้ เมื่ออ่านสารที่ส่งออกมาจากฝั่ง สว.ใน กมธ.ชุดดังกล่าว ก็ทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่เลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับอีกเช่นกัน

นั่นแสดงว่า สายสีแดงกับสายสีน้ำเงินมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันใช่หรือไม่

ข้อมูลที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ “นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต และประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543 ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็น MOU เถื่อน และการลงนามอาจเข้าข่ายผิดกฎมาย เนื่องจากไม่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่แรก
หลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนจากมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 13 มิถุนายน 2543 พบว่า คณะมนตรีเพียงแค่“รับทราบ”การบัญชาการของนายกรัฐมนตรี ที่ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปลงนาม MOU 2543 กับกัมพูชานั้น ย่อมสุ่มเสี่ยงที่เข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องด้วยขัดแย้งต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2531 เนื่องด้วยเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยตรง
อีกทั้งยังขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2535 เอาไว้ว่าเรื่องความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่างๆ จะต้องเสนอเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทุกครั้ง
“การลงนามใน MOU 2543 จึงเข้าข่ายการกระทำผิดต่อกฎหมายหรือไม่ และเข้าข่ายเป็น MOU เถื่อนตั้งแต่แรกหรือไม่” นายปานเทพ ระบุ
ส่วนการลงนามปฏิญญาเพื่อนำไปสู่สันติภาพ ระหว่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” ผู้นําไทย และ “ฮุน มาเนต” ผู้นำกัมพูชา ในเวทีสุดยอดอาเซียน โดยมี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อ 26 ต.ค.2568 นั้น ก็มีคำถามเช่นกันว่า สาระสำคัญ 4 ข้อเสนอ ประกอบด้วย 1.ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ 2.เก็บกู้ทุ่นระเบิด 2.ปรามปรามสแกมเมอร์ 4 จัดระเบียบพื้นที่ชายแดน เกิดประโยชน์กับไทยจริงหรือ

เพราะมีการสังเกตว่า ในการเดินทางไปในเซ็นสัญญาครั้งนี้ นายอนุทินไม่มีชุดความคิดอยู่ในหัวของตัวเอง หากแต่ถูกกระทรวงการต่างประเทศครอบงำและชักจูงไปแบบสบายๆ แถมยังเป็นเพียงแค่“ตัวประกอบ”บนเวทีเท่านั้น เพราะงานนี้ “ฮุน มาเนต” มีบทบาทที่โดดเด่นในสายตาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มากกว่าประจักษ์พยานที่ชัดเจนคือการที่สหรัฐฯ เตรียมเลิกแบนห้ามขายอาวุธให้กัมพูชา พร้อมกับฟื้นการฝึกซ้อมทางทหารทวิภาคี ในชื่อรหัส Angkor Sentinel ขึ้นอีกครั้ง หลังจากร่วมฝึกซ้อมครั้งล่าสุดในปี 2017

ขณะที่การเสียเลือด เสียเนื้อ เสียชีวิตของทหารที่ปกป้องผืนแผ่นไทย กำลังจะกลายเป็นความสูญเปล่า

บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้วก็ยังคงสภาพเหมือนที่ผ่านมาคือ ไม่สามารถผลักดันชาวกัมพูชาที่มาตั้งบ้านเรือนในดินแดนไทยออกไปได้ และชาวไทยผู้ครอบครองโฉนดที่ดินก็ไม่สามารถกลับไปทำมาหากินในผืนที่ของตนเอง

นอกจากนี้ พื้นที่ที่ประเทศไทยยังนำกลับคืนมาไม่ได้ เช่น ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา ครึ่งหนึ่งของช่องอานม้า และอื่นๆ ย่อมไม่สามารถนำคืนกลับมาเป็นของประเทศไทยได้อีก จนกว่ากัมพูชาจะสมัครใจยินยอม ตลอดจนพื้นที่ 11 จุดที่ประเทศไทยนำกลับมาได้โดยพลโทบุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ต้องถอนอาวุธหหนักออกจากพื้นที่

“ทำเป็นแข็งขันว่าจะไล่เขมรออกไปแต่รีบไปเซ็นข้อตกลงในเมื่อตระบัดสัตย์กันอย่างนี้ผมจะเข้าไปเอาแผ่นดินคืนเอง อย่ามาโทษประชาชนนะ ตัวเองมีหน้าที่เอาคืนมาตั้งนานทำไมไม่ทำ ให้มันรู้ไปว่าเขมรรุกที่ไทยเจ้าหน้าที่ไม่จับ แต่จะจับคนไทยที่ไปปกป้องแผ่นดิน”วีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน วิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดื

เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่ “ใจร้ายกับนายกฯ” เหมือนอย่างที่ “จ๋า ธนนนท์ นิรามิษ” ภรรยาของนายอนุทินกล่าวหลังเดินทางกลับจากประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 เพราะนี่คือเรื่องอธิปไตยของประเทศที่ลูกหลานไทยต้องพิทักษ์รักษาเอาไว้
กำลังโหลดความคิดเห็น