การลงนาม MOU แร่แรร์เอิร์ธ ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่รัฐบาลโอ่ว่าเป็นโอกาสอันดีในการยกระดับเศรษฐกิจสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่หมากเกมนี้ต้องถือว่าสุดเสี่ยงอย่างยิ่ง ไม่เพียง หายนะต่อสิ่งแวดล้อมที่รออยู่เบื้องหน้า แต่ไทยยังถูกลากเข้าสู่ศึกชิงแร่แรร์เอิร์ธของมหาอำนาจจีน-สหรัฐฯ ที่กำลังสู้กันฝุ่นตลบอีกด้วย
ประเทศไทยจะได้คุ้มเสียหรือไม่ ยังไม่มีใครประเมินผลได้ชัดเจน แต่นี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายให้กับผู้นำสหรัฐฯ ที่มาเป็นสักขีพยานใน“แผนสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา”แถมพ่วงด้วยการลงนามในกรอบข้อตกลงทางภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เก็บจากไทย 19% แลกกับที่ไทยต้องเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมู กากถั่วเหลือง และอีกสารพัดสารพัน
ดังนั้น คงไม่เกินเลยสักเท่าใดนัก ถ้าจะบอกว่าการมาปรากฏตัวของทรัมป์ในงานประชุมสุดยอดอาเซียน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีแต่ได้กับได้แบบจุก ๆ กันเลยทีเดียว
กล่าวสำหรับข้อตกลงเรื่องแร่แรเอิร์ธ ที่สร้างความตื่นตะลึงให้สังคมไทยนั้น มีสาระสำคัญหลัก ๆ คือ การเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีการสำรวจ การขุด แปรรูป การกู้คืนและการนำกลับมาใช้ใหม่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแร่หายากในไทย ซึ่งรวมถึงแร่ที่ขุดและขายในไทยและขายโดยบริษัทที่ตั้งอยู่ในไทย โดยสหรัฐฯ ต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้ไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของโลก แลกกับการที่สหรัฐฯ จะมีสิทธิ์ในการขอซื้อแร่หายากก่อนคนอื่น หรืออย่างน้อยก็จะมีความได้เปรียบกว่าคนอื่นถ้าต้องซื้อแร่หาจากจากไทย
ความตกลงดังกล่าวข้างต้น ประเทศไทยหวังสร้างโอกาสก้าวสู่ห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ตามที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ความเห็นว่า แม้ MOU ฉบับนี้จะไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย แต่จะเอื้อประโยชน์ให้ประเทศไทยสามารถเข้าไปอยู่ในซับพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ที่ไทยจะได้รับ นอกเหนือจากมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
สอดรับกับนายอนุทิน ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ชี้แจงว่า เป็นการสร้างความร่วมมือเพื่อเปิดทางให้นักวิชาการและภาคเอกชนไทยได้เข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้จากต่างประเทศ เพิ่มศักยภาพของประเทศในการจัดการทรัพยากรที่มีค่า และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต และไม่ปิดกั้นการร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ เอ็มโอยูฉบับนี้ไม่ใช่สัญญาผูกพันทางกฎหมาย หากเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ในอนาคต สามารถยกเลิกได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำในทำนองเดียวกันว่า เอ็มโอยูเป็นข้อตกลงความเข้าใจเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือแร่หายาก ส่งเสริมการค้าการลงทุน การสำรวจ สกัด แปรรูป กลั่น รีไซเคิล กู้คืน ดูแลรักษา เรียกว่าตั้งแต่สำรวจจนถึงสกัดและรีไซเคิล กู้คืน ต้นน้ำจนปลายน้ำ เป็นการส่งเสริมการลงทุน สร้างมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
กล่าวโดยสรุป รัฐบาลมองโอกาสทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรม ซึ่งจะเปิดกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากสหรัฐฯ การยกระดับสู่การเป็นผู้ผลิตขั้นกลาง การมีโรงงานแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าจะสร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ รวมทั้งการเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ของไทย โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งล้วนต้องพึ่งพาชิ้นส่วนที่ทำจากแร่หายาก
วิจารณ์สนั่นหมกเม็ดเซ็น
ดึงไทยพัวพันความขัดแย้งสหรัฐฯ -จีน
แม้จะฟังดูดีทีเดียว แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การที่สหรัฐฯ ดึงไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของโลกครั้งนี้ มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันมาก นับตั้งแต่เป็นการลงนามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะสังคมไทยไม่ระแคะระคายในเรื่องดังกล่าวมาก่อน รวมถึงความเสี่ยงในด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาวะของชุมชน และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ เพราะไทยถูกดึงเข้าไปเกมการเมืองระดับโลกของมหาอำนาจสหรัฐฯ - จีน อย่างเต็มตัว
ฝันหวานถึงความมั่งคั่งที่สุ่มเสี่ยงต้องแลกมาด้วยความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมและมลพิษ เป็นประเด็นที่ MOU ฉบับนี้ไม่ได้กล่าวถึงอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร มีเพียงความตกลงกว้าง ๆ ว่าให้เป็นไปตามกฎหมายของทั้งสองประเทศ ประมาณนั้น
เป็นที่รู้กันดีว่า กระบวนการทำเหมืองแร่และแปรรูปแร่หายาก ส่งผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องเพราะการสกัดแร่เหล่านี้ต้องใช้สารเคมีอันตรายจำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำและดิน กระบวนการสกัดแร่ยังมักพบธาตุกัมมันตรังสี เช่น โทเรียม และยูเรเนียม ปะปนมากับแร่ กลายเป็นกากกัมมันตรังสีที่จัดการได้ยาก และอันตรายต่อชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบเหมืองและแหล่งฝังกลบ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมของไทย ยังอ่อนปวกเปียก เห็นได้ชัดเจนจากปัญหามลพิษท่วมเมืองทั้งดิน น้ำ อากาศ ครบครัน
นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน มองว่าเอ็มโอยูแร่แรร์เอิร์ธ ไทยเสียเปรียบสหรัฐฯมาก โดนล็อกทุกทาง ไม่มีการระบุเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธ ทั้งที่เชียงใหม่ เชียงราย กำลังเผชิญปัญหาน้ำเป็นพิษอย่างหนักจากเหมืองแรร์เอิร์ธในประเทศเพื่อนบ้าน และกรมเหมืองแร่ฯยังไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ แต่รัฐบาลทำให้ไทยกลายเป็นหมากในสงครามแรร์เอิร์ธระหว่างจีน-สหรัฐฯ ไปแล้ว
นายธารา บัวคำศรีผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เอ็มโอยูอ่านแล้วดูดี แต่ต้องไม่ลืมความจริงที่ว่าไทยเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของห่วงโซ่อุปทาน critical minerals ระดับโลก เอ็มโอยูนี้คือการใช้ไทยเป็นทางผ่านแร่หายากจากห่วงโซ่อุปทานที่มีจีนครอบงำอยู่มากกว่า 90% ของทั้งหมด และเอ็มโอยูไม่พูดถึงหายนะทางนิเวศและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชีวิตผู้คนนับล้านในลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง ที่เกิดจากเหมือง critical minerals เถื่อนในรัฐฉาน และลาวตอนเหนือเลย
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า การที่สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานถือเป็นโอกาสที่ดี แต่ก็ต้องมีความระมัดระวังในเชิงผลประโยชน์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ชุมชน การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม และต้องรักษาความสมดุลในความสัมพันธ์กับจีนและสหรัฐฯ เพราะประเด็นนี้เป็นความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่แหลมคม
นับเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่ง เมื่อไทยถูกดึงเข้าไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของสหรัฐฯ-จีน อย่างเต็มตัว เพราะจีนถือว่าการมีแร่หายากไว้ในครอบครองมากที่สุดอันดับหนึ่งของโลก และผูกขาดเทคโนโลยีการแปรรูปแร่หายากขั้นสูง ซึ่งเป็นประเด็นความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ที่จีนใช้ตอบโต้สหรัฐฯ การที่ไทยเลือกยืนข้างสหรัฐฯ รัฐบาลจีนอาจมองความเคลื่อนไหวนี้ว่าเป็นการท้าทายอำนาจการผูกขาดของจีน และย่อมมีความเสี่ยงที่ไทยอาจต้องเผชิญแรงกดดันจากจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทย
แร่ธาตุหายาก (REEs) คือกลุ่มแร่ธาตุ 17 ชนิดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในอุตสาหกรรมไฮเทคตั้งแต่สมาร์ทโฟน, ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), แผงโซลาร์เซลล์ ยุทโธปกรณ์ทางการทหารที่ล้ำสมัย เช่น เครื่องบินรบ F-35 และขีปนาวุธ ด้วยคุณสมบัติพิเศษทางการนำไฟฟ้าและการสร้างแม่เหล็กพลังสูง ทำให้แร่เหล่านี้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมแห่งอนาคต และเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่มหาอำนาจต่างช่วงชิง
จีนถือเป็นผู้ผูกขาดตลาดแร่หายากอย่างสมบูรณ์ บทวิเคราะห์จากสถาบัน ISEAS – Yusof Ishak ซึ่งอ้างอิงข้อมูลของ U.S. Geological Survey ระบุว่า จีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากของโลก ประมาณ 70% และที่สำคัญกว่านั้นคือมีศักยภาพในการแปรรูปแร่ที่ขุดขึ้นมาได้มากถึง 90% ของทั้งโลก ส่วนสหรัฐฯ ผลิตได้เพียง 15% ของความต้องการในประเทศ เนื่องจากยังขาดความสามารถในการแปรรูป ทำให้ต้องนำเข้าจากจีนถึง 80%
การผูกขาดตลาดแร่แรเอิร์ธของจีน ทั้งการขุดแร่และการแปรรูป ทำให้จีนสามารถใช้ความได้เปรียบนี้เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างชัดเจน นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา จีนได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด เพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
การถือไพ่ที่เหนือกว่าของจีน ทำให้สหรัฐฯ ต้องเร่งหาพันธมิตรใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความหลากหลายในห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้บริบทนี้นำไปสู่การทำเอ็มโอยูกับไทย ซึ่งมีศักยภาพทั้งในด้านปริมาณแร่สำรองและที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาค
จากข้อมูลของ US Geological Surveyในปี 2024 จีนผลิตแร่หายากได้มากถึง 270,000 ตัน สหรัฐฯ อยู่ในอันดับสอง แต่ได้ผลผลิตห่างกันมา คือ 45,000 ตัน ตามด้วยพม่า 31,000 ตัน อันดับ 4 คือ ออสเตรเลีย 13,000 ตัน และอันดับ 5 ไทย 13,000 ตัน
นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ให้ข้อมูลว่า แม้แร่แรร์เอิร์ธจะมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย อาทิ ภาคตะวันตก ภาคใต้ แต่ไม่พบพื้นที่กระจุกตัวที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ และที่ผ่านมายังไม่มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในประเทศไทย ส่วนที่มีกระแสว่าไทยส่งออกเป็นอันดับห้า เป็นการนำเข้าแรร์เอิร์ธเป็นตัวแร่มาจากออสเตรเลีย แล้วนำมาตกแต่งแร่ให้มีความเข้มข้นมากขึ้นก่อนจะส่งออก ข้อตกลงความร่วมมือจึงถือเป็นความเข้าใจที่จะแลกเปลี่ยนส่งเสริมข้อมูลกับทางอเมริกามากกว่า
รศ.ดร.จารุประภา รักพงษ์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ไทยยังไม่มีความเหมาะสมและความจำเป็นที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ที่ถือกันว่าเป็นอุตสาหกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้าง เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมถ่านหิน และยังไม่มีกฎหมายกำกับดูแลการผลิตและขุดแร่แรร์เอิร์ธ ขาดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย รวมถึงประชาชนยังขาดความเข้าใจในผลกระทบของอุตสาหกรรมนี้
นอกจากนั้น รัฐบาลปัจจุบันมีสถานะชั่วคราว จึงไม่เหมาะสมในการผลักดันการให้สัมปทานหรือเริ่มผลิตแร่หายาก ประเทศไทยควรมีกฎหมายเพื่อกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานการผลิตแร่แรร์เอิร์ธก่อน ซึ่งต้องรอรัฐบาลชุดต่อไปซึ่งได้รับการเลือกตั้ง และได้รับฉันทมติมาจากประชาชนจะมีความเหมาะสมกว่า
สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญในเวลานี้ คือ การปรับปรุงข้อกฎหมายตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อป้องกันมลพิษข้ามแดนจากเหมืองแร่เถื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำกก หากพบว่าแร่นำเข้ามีที่มาจากเหมืองที่ก่อมลพิษ ควรยุติการนำเข้าทันที
แผนสันติภาพฯ – ข้อตกลงภาษี อเมริกาโชว์พาว
แม้ว่าสาระสำคัญของถ้อยแถลงผลการหารือ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล ของไทย และนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต แห่งกัมพูชา ได้ร่วมลงนามกัน โดยมีประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ และนายกรัฐมนตรี อันวา อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยานนั้น ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าประเด็นที่ได้มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด นับแต่เกิดความตึงเครียดนามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการถอนกำลัง การเก็บกู้ทุ่นระเบิด เป็นต้น
แต่การมาของทรัมป์ ที่ใช้มาตรการทางภาษีศุลกากร มาเป็นเครื่องมือทางการทูตชักจูงแกมบังคับให้ทั้งไทยและกัมพูชาลงนามในข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งนำมาสู่แผนสันติภาพฯ ที่ทั้งสองฝ่ายลงนามกันเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา นับได้ว่าสัญญาสงบศึกนี้สร้างผลประโยชน์ในเชิงยุทธศาสตร์ให้สหรัฐฯ อย่างมาก ทรัมป์ได้แสดงบทบาทในฐานะผู้สร้างสันติภาพให้ภูมิภาคนี้อย่างเด่นชัด เมื่อเทียบกับจีนที่ทำได้เพียงเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอดทนอดกลั้นเพื่อสันติสุขเท่านั้น
แถมข่าวปล่อยในทำนองที่ว่าจีนให้การสนับสนุนด้านยุทโธปกรณ์แก่กัมพูชา ยังสร้างความหวาดระแวงต่อจีนอย่างกว้างขวาง แม้ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาปฏิเสธและผู้นำของไทยจะช่วยยืนยันก็ตาม ทำให้สหรัฐฯช่วงชิงผลประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์อีกเด้ง
ส่วนที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือ ระหว่างการเยือนอาเซียนของทรัมป์ สหรัฐฯสามารถลงนามในความตกลงทางการค้ากับไทย กัมพูชา และมาเลเซีย เพื่อคงระดับภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากสามชาติอาเซียนดังกล่าวเอาไว้ที่ 19 % ตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้ในตอนที่มีการตกลงในสัญญาสงบศึกกันเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ และมาเลเซีย ยังลงนามในบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือและการส่งเสริมการลงทุนแร่หายากเช่นเดียวกับไทย ทำให้มาเลเซียมีทางเลือกทางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพิงจีนมากเกินไป
สำหรับกัมพูชานั้น สัญญาสงบศึกที่มีทรัมป์ลงนามเป็นสักขีพยาน เท่ากับว่ากัมพูชาได้ยกระดับปัญหาชายแดน ให้กลายเป็นประเด็นระดับโลกที่สหรัฐฯ ให้สนใจ และอีกด้านหนึ่งยังช่วยลดการถูกครอบงำจากจีนอย่างเบ็ดเสร็จดังเช่นที่ผ่านมา แต่การสร้างดุลยภาพนี้กัมพูชามีราคาต้องจ่ายให้สหรัฐฯ จากมาตรการคว่ำบาตรกลุ่มธุรกิจและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นถุงเงินและแหล่งเงินทุนของตระกูลฮุน และบริวาร
น่าจับตาอย่างยิ่งว่า บันทึกความตกลงแร่แรร์เอิร์ธ ที่มาพร้อมแผนสันติภาพฯ และข้อตกลงทางภาษีฯ นับเป็นโจทย์ใหญ่ที่ซับซ้อน ท้าทายไทยจะคว้าโอกาสและจัดการความเสี่ยงได้สักเพียงไหน ขณะที่รัฐบาลชุดนี้มีอายุสั้นเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน.

