ว.วินิจฉัยกุล ศิลปินแห่งชาติ กลั้นน้ำตาไม่อยู่ เผยความทรงจำสุดซาบซึ้งเมื่อครั้งถวายงานสมเด็จพระพันปีหลวง จากวันแรกที่ประหม่าสู่ความอบอุ่นใจในพระเมตตาและพระสุรเสียงที่ยังก้องในหัวใจไม่ลืมเลือน ลั่นพระองค์ท่านรักประวัติศาสตร์ไทยมาก เสียดายเด็กรุ่นหลังเรียนประวัติศาสตร์น้อยลง
กลั้นน้ำตาไม่อยู่ “รองศาสตราจารย์ คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์” นักประพันธ์นวนิยายชื่อดัง เจ้าของนามปากกา ว.วินิจฉัยกุล, แก้วเก้า ฯ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2547 น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เผยเคยมีโอกาสได้ถวายงาน โดยพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ไปเข้าเฝ้าฯ และพูดคุยเรื่องประวัติศาสตร์
“ก็ไม่ได้ใกล้ชิดเท่ากับท่านอื่นๆ ที่เป็นฝ่ายในนะคะ ไม่ได้ทำงานในราชสำนักโดยตรง แต่ก็มีโอกาสได้ถวายงาน ถ้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์วรรณคดี ท่านก็จะโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ท่านสนพระทัยในวัฒนธรรมของไทยในหลายด้าน ทั้งหมดท่านจะนำไปเผยแพร่ จริงๆ เวลาเสด็จต่างประเทศ งานของท่านจะเยอะมาก ไม่ได้พักผ่อนแม้แต่วันเดียว ทุกนาทีจะเป็นเรื่องประเทศชาติ
เราได้ถวายงานท่านมานานมาก จำ พ.ศ. ไม่ได้แล้ว ตั้งแต่ลูกสองคนยังเล็กๆ อยู่ ตอนนั้นท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ ยังอยู่ค่ะ ท่านเป็นคนโทร.มาให้เข้าเฝ้าที่บางประอิน ท่านผู้หญิงท่านพูดเป็นกันเอง เหมือนเป็นเรื่องธรรมดามาก ในขณะที่เรานั่งตกตะลึงอยู่ ท่านบอกให้ทายากันยุงไปด้วย เพราะที่นั่นยุงชุมมาก คือท่านทำให้เราสบายใจว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแต่เราก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต
ครั้งแรกที่ได้เข้าเฝ้า เคยเขียนเอาไว้เป็นบทความภาษาอังกฤษ รู้สึกว่าตอนนั้นสมเด็จพระพันปีหลวง ท่านน่าจะพระชนมายุ 60 พรรษา ก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนสวยเท่านี้เลย เป็น 60 ที่ไม่เหมือน 60 ท่านทรงพระเยาว์กว่าสัก 30 ปี แล้วท่านก็ทรงเป็นกันเองมาก เราพูดอะไรไม่ค่อยออก แต่ท่านก็จะเล่าเรื่องพระเจ้าหลานเธอที่ตอนนั้นยังเล็กๆ แล้วก็พูดถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ว่าท่านทรงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยฝรั่ง ท่านทำให้เราหายประหม่า หายกลัว ท่านเล่าแบบธรรมดา ด้วยน้ำเสียงเหมือนกับเล่าถึงครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู ท่านไม่ใช้ราชาศัพท์ ท่านจะเอ่ยถึงกรมสมเด็จพระเทพฯ กับเจ้าฟ้าองค์อื่นๆ ก็จะพูดอย่างธรรมดาที่สุด ทำให้เราคลายประหม่าไป”
พระองค์ทรงอยากให้เขียนเรื่องราวประวัติศาสตร์ ทั้งที่ตนไม่เคยเขียน เหม้อนมีใครกระซิบบอก เขียนรวดเดียวจบ ใน 6 เดือน ทั้งที่คิดไม่ออกเลย
“ตอนนั้นท่านมีพระปรารภเรื่องประวัติศาสตร์ แล้วก็พูดถึงพระสุริโยทัย บอกว่าอยากให้เขียน แต่ก็ไม่ได้เป็นคำสั่งนะคะ แต่เราก็รู้สึกว่าอยากลองเขียน เพราะไม่เคยเขียนเรื่องประวัติศาสตร์อยุธยา กลับไปคิดอยู่ปีครึ่ง ก็ยังคิดไม่ออก เพราะอยากเขียนอะไรที่ไม่ซ้ำแบบ ก็ต้องไปที่ทุ่งมะขามหย่อง ไปจุดเทียนที่หน้าพระราชานุสาวรีย์ แล้วก็บอกว่าอยากจะเขียนเรื่องสมเด็จพระสุริโยทัย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ขอจุดเทียนถวาย เชื่อไหมว่าเทียนไม่ดับ ทั้งๆ ที่ลมแรงมาก แต่เทียนทุกดวงที่จุดไว้ไม่ดับ จนกระทั่งกราบลาท่าน พอขึ้นรถเหลียวมองอีกครั้งเทียนก็ยังลุกอยู่
กลับมาก็คิดออก อย่างกับใครมากระซิบบอก เขียนรวดเดียวจบ ภายใน 6 เดือน ทั้งที่ตอนแรกคิดไม่ออกเลย เขียนเสร็จก็พิมพ์นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ท่านก็ทรงเปิดอ่านเลย โปรดเกล้าฯ ให้ร่วมโต๊ะเสวยด้วยแล้วท่านถามถึงสมัยสุโขทัย แล้วก็ถวายลิขสิทธิ์ด้วย เราไม่ได้มีสิทธิ์ในหนังสือเล่มนี้อีกแล้ว ถ้าใครจะพิมพ์ต้องทำเรื่องไปที่กองราชเลขาฯ”
น่าเสียดาย เด็กรุ่นหลังเรียนประวัติศาสตร์น้อยลง
“ท่านเป็นผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ไทย ตอนที่ประทับอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ท่านก็ได้เรียนประวัติศาสตร์ คือท่านรู้สึกว่าต่างชาติเขาให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์มาก แต่คนไทยทำไมเด็กรุ่นหลังได้เรียนน้อยลง ในตำราก็ไม่มีวิชาประวัติศาสตร์ท่านอยากปลูกฝังให้ภูมิใจในประวัติศาสตร์ ว่าบรรพบุรุษได้เสียสละเอาเลือดเนื้อทาแผ่นดินขนาดไหน กว่าจะมีวันนี้ได้ โดยเฉพาะยุคล่าอาณานิคม กว่าจะมาถึงวันนี้ที่เราอยู่กันได้อย่างสบาย บรรพบุรุษเราเอาเลือดเนื้อแลกมา เราจะได้ภูมิใจในความเป็นไทย
ท่านทรงรักประวัติศาสตร์ไทยมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งตามเสด็จไปที่วัดไชยวัฒนาราม ตอนตี 1 คือเสด็จไปกรวดน้ำให้วิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตที่นั่น เพราะเป็นค่ายทหารเมื่อสมัย 2310 รบกัน 9 วัน 9 คืน ทหารไทยกับพม่าตายกันที่นั่นนับไม่ถ้วน เขาบอกว่าวิญญาณยังล่องลอยอยู่ ไปอยุธยาทีไร ท่านก็ไปกรวดน้ำให้ เราถึงเห็นว่าท่านเนี่ยสมกับที่ได้รับเหรียญเซเรส (Ceres Medal) คือให้โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง”
พระสุรเสียงยังก้องในหัวใจไม่ลืมเลือน
“เราจำพระสุรเสียงของท่านได้ว่าอ่อนหวาน เวลามีพระราชดำรัสก็จะแย้มพระสรวล ยิ้มของท่านนั้นทำให้เราอุ่นใจ ว่าเราอยู่กับใครคนหนึ่งซึ่งแสนดีและมีน้ำใจ มีมิตรไมตรี เห็นคุณค่าของทุกคน ไม่ว่าเขาจะเล็กน้อยขนาดไหน ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ตั้งสติได้แล้ว รู้นะว่าทุกคนก็ต้องมีวันจากไป แต่มีความรู้สึกว่า ตราบใดที่ยังทราบว่าท่านยังอยู่ มันก็มีความอุ่นใจ เหมือนกับว่าเรามีหลักให้นึกถึง ทำอะไรเหนื่อยยากสาหัส เราก็นึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับสมเด็จฯ ว่าอย่าไปบ่นนะ ที่เหนื่อยขนาดนี้ไม่ได้หนึ่งในร้อยล้านที่ท่านทำ เพราะท่านทรงงานหนักจริงๆ ทั้งสองพระองค์ และไม่มีวันหยุด ไม่มีวันเกษียณ
เราโชคดีที่สุด ที่ได้อยู่บนผืนแผ่นดิน ได้หายใจเต็มปอด ที่ได้มีบุคคลที่ดีเป็นตัวอย่างให้เรานึกถึง ถ้าเราอยากรู้อะไรดีอะไรชั่ว ก็ให้ดูท่าน ในฐานะที่เราเป็นนักเขียน ก็คงจะมีสักวันค่ะ ถ้านึกขึ้นมาได้นะ แต่ตอนนี้ขอบอกจริงๆ ว่านึกไม่ออกแล้ว เหมือนสมองเราปิดสวิตซ์เอาไว้ ไม่ให้ทุกข์มากกว่านี้ สักวันคงคิดออกและคงจะเขียน ตอนแต่งกลอนก็ใช้เวลานานมาก แต่ตอนลงมือแต่งนี้แป๊บเดียว คือตั้งสติได้แล้ว ตอนนั้นมันเหมือนม่านมาบัง มันนึกอะไรไม่ออก
ก็ไม่เข้าใจตัวเองนะ ว่าทำไมเราถึงรู้สึกได้มากขนาดนี้ เพราะด้วยวัย ด้วยประสบการณ์ เราน่าจะมีความรู้สึกสงบเยือกเย็นกว่านี้ ไม่เคยร้องไห้แบบนี้ ร้องอยู่หนหนึ่งตอนที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต ตอนนั้นยืนร้องไห้อยู่ที่ห้างเลย ก็ผ่านมา 9 ปี มาร้องไห้ต่อหน้าสื่ออีก”
บทประพันธ์ของ “ว.วินิจฉัยกุล” ที่แต่งเพื่อถวายความอาลัย เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา
“ทรงเป็นน้ำ เมื่อเวลาป่าแล้งน้ำ
เป็นฝนฉ่ำ เมื่อนภาคราร้อนแสง
เป็นกำลัง พสกนิกรเมื่ออ่อนแรง
เป็นความแกร่ง กรุณา และปรานี
รอยพระบาท ยาตราทิศาทั่ว
ดับทุกข์เข็ญ มืดมัวทุกถิ่นที่
ทรงเคียงคู่ พระนฤบดี
ตลอดเจ็ดสิบหกปีทรงงาน
ทรงเหน็ดเหนื่อย เนิ่นนานหลายกาลแล้ว
ถึงเวลา ผ่องแผ้วสมัครสมาน
เสวยสุขสรวงสวรรค์ นิรันดร์กาล
เคียงคู่พระนฤบาล ชั่วกัลป์เทอญ
น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้”

