วุฒิสภายืดเวลาอีก 90 วัน ศึกษาเอ็มโอยู ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ชี้ข้อกฎหมายซับซ้อน เสี่ยงกระทบความมั่นคงชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ประเด็นเอ็มโอยู 'ไทย-กัมพูชา' ยังคงร้อนแรงในเวทีการเมืองอย่างต่อเนื่อง หลังคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภาเสนอผลการศึกษาข้อดีข้อเสียของการยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และ 2544 ต่อที่ประชุม พบว่าเอ็มโอยู มีความสุ่มเสี่ยงทางกฎหมายและอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ด้วยความซับซ้อนและผลกระทบต่อความมั่นคงชายแดน วุฒิสภาพิจารณาขยายเวลาในการศึกษาประเด็นนี้ออกไปอีก 90 วัน เพื่อให้คณะกรรมาธิการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ก่อนตัดสินใจว่าจะคงไว้ ปรับปรุง หรือยกเลิกเอ็มโอยูทั้งสองฉบับ
โดยในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก เอ็มโอยู 2543 และเอ็มโอยู 2544 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มี นายนพดล อินนา ส.ว.เป็นประธานกมธ. ได้รายงานผลการศึกษาเบื้องต้น ว่า จากการตรวจสอบในรายละเอียดของที่มาของเอ็มโอยู 2543 จะพบว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะขัดกับรัฐธรรมนูญ ระเบียบสำนักนายกฯ มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และขัดกับบันทึกการประชุมเจบีซี ครั้งที่ 2 เอ เมื่อปี 2543 เนื่องจากมีข้อกำหนดต่อกระบวนการจัดทำเอ็มโอยู 2543 ที่ต้องส่งให้ ครม. เห็นชอบ แต่จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีการเสนอให้ ครม.เห็นชอบ มีเพียงการเสนอให้รับทราบเท่านั้น ทั้งที่ระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนดบทบัญญัติไว้ชัดเจน รวมไปถึงบันทึกการประชุมเจบีซีครั้งที่ 2 เอ เมื่อปี 2543 ที่ระบุว่า เมื่อจะทำเอ็มโอยูทั้งสองฝ่ายจะเสนอเอ็มโอยูต่อรัฐบาลของตนเพื่อขอความเห็นชอบ
โดยการตรวจสอบเรื่องนี้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 224 วรรคแรก กำหนดไว้ว่า ครม.ต้องเห็นชอบ แต่ที่ผ่านมาพบว่ามีเพียงเสนอให้รับทราบ ดังนั้นกลัวจะเป็นปัญหา ว่าขัดกับกฎหมาย หรือไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องเสนอรายงานเบื้องต้นนี้ ไปยัง ครม.ให้พิจารณาว่าจะดำเนินการยืนยัน ทบทวน หรือ โต้แย้งความเห็นของกมธ.ฯต่อไป
อีกทั้ง ปัจจุบันมีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ หากครม. เห็นว่าเรื่องนี้สำคัญ ต้องหาคำตอบเบื้องต้น ครม. อาจตั้งคำถามไปยังกฤษฎีกาและนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดไปให้พิจารณาว่า มีความสมบูรณ์ ถูกต้อง บกพร่องหรือไม่ ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ครม.สามารถแก้ไข ปรับปรุง หรือตัดสินใจได้ ขณะที่เอ็มโอยู 2544 กมธ.ได้ตรวจสอบในประเด็นเดียวกัน พบว่าค่อนข้างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ไม่เหมือนกับ เอ็มโอยู 2543 ที่สุ่มเสี่ยงขัดกับรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ หลังจากการรายงานผลการพิจารณาเบื้องต้น กมธ.ได้เสนอให้ที่ประชุมวุฒิสภา พิจารณาเห็นชอบขยายเวลาการพิจารณาศึกษา ออกไปเป็นกรณีพิเศษ อีก 90 วัน เนื่องจากมีความละเอียดซับซ้อน มีผลกระทบต่อความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ด้าน นายนพดล อินนา ส.ว. และประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก เอ็มโอยู 2543 และเอ็มโอยู 2544 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แถลงวว่า ผลการประชุม กมธ. ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าควรที่จะมีการยกเลิกเอ็มโอยู 43 -44 หรือไม่ เนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบถ้วน การตัดสินใจทำในทางใดนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นเรื่องเอ็มโอยู 43 และ 44 ต้องดูให้รอบคอบ รอบด้านโดยไม่มีอคติ หรือใช้อารมณ์
ส่วนผลการศึกษาของ กมธ.จะทันต่อการทำประชามติของรัฐบาลหรือไม่นั้น นายนพดล กล่าวว่า เรื่องการขยายกรอบเวลาในการศึกษาของกมธ.ฯจากเดิม 90 วันก็ขยายต่ออีก 90 วัน แต่หากดำเนินการเสร็จก่อนก็จะดำเนินการรายงานต่อวุฒิสภาทันที และระหว่างการศึกษานับจากวันนี้เป็นต้นไปกมธ.ชุดนี้ก็จะพยายามให้ข้อมูลประชาชนให้ได้มากที่สุดถึงข้อดีข้อเสียของเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ และมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้จากกมธ.ชุดนี้ เป็นประโยชน์และส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะคงอยู่หรือยกเลิกเอ็มโอทั้ง 2 ฉบับ

