พรรคประชาชน” กดดันรัฐบาลเร่งล้างแก๊งสแกมเมอร์ ขู่ยื่นซักฟอกหากยังเพิกเฉย ด้าน “วรภัค” ประกาศลาออก ยันไม่เอี่ยวขบวนการมิจฉาชีพ กัมพูชา พร้อมสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์
หลังจากเป็นหมู่บ้านกระสุนตกมาสักระยะ ในที่สุดนายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่า การลาออก ไม่ได้ถูกกดดันจากรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี ให้ลาออกเพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาล แต่ต้องการให้เกิดความอิสระในการตรวจสอบ อีกทั้งเรื่องนี้ ก็มีการลุกลามบานปลาย มากล่าวหาถึงภรรยา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร โดยหลังจากลาออกแล้ว ตนก็พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง ยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และก็จะมีการดำเนินคดีทางกฎหมาย กับผู้บิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริง
"ปฏิเสธข้อกล่าวหา ใส่ร้าย ป้ายสี ทั้งหมดอย่างชัดเจนว่า ไม่เคย มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มบุคคลหรือขบวนการที่เกี่ยวข้องกับ Cambodian scammers หรือกระบวนการต้มตุ๋น หลอกลวง ธุรกิจผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น กระผม มีประวัติการทำงานและจรรยาบรรณที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มาตลอด 30 ปี ในแวดวงการเงินระดับสากล ทั้งในองค์กรต่างชาติและองค์กรของรัฐขนาดใหญ่ของไทย และปัจจุบันทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ข้าราชการกระทรวงการคลัง ที่มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับผมมากกว่าหนึ่งปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งในปัจจุบัน จะสามารถยืนยันได้ว่าผมทำงานอย่างไร"
ด้านความเคลื่อนไหวของพรรคประชาชนต่อปัญหาการจัดการขบวนการสแกมเมอร์ของรัฐบาลนั้น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยว่า พรรคประชาชนติดตามการทำงานของรัฐบาลและตรวจสอบอย่างเต็มที่ ล่าสุดกรณีสแกมเมอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งหลอกลวงออนไลน์อยู่ในเป้าการจับตาอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเปิดรัฐสภาในสมัยประชุมหน้ามีโอกาสอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยืนยันที่จะใช้กลไก สส. และกลไกของกรรมาธิการในการผลักดันเรื่องที่รัฐบาลควรดำเนินการให้ดำเนินการอย่างจริงจังมากขึ้น
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยังอยู่ในเงื่อนไขการพิจารณาของฝ่ายค้าน หากรัฐบาลยังไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยเฉพาะหากพบหรือมีข้อสงสัยว่าอาจมีความเกี่ยวพันหรือเกี่ยวโยง ในฐานะผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย หรือการสนับสนุนการกระทำความผิดหรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้สแกมเมอร์จากัมพูชาอาละวาด และมาหาผลประโยชน์ในราชอาณาจักรไทยอาจจะนำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ