ย้อนกลับไปปลายปี 2567 ราชกิจจานุเบกษาได้ออกประกาศ แพทยสภา ที่ 62/2567 เรื่อง เกณฑ์การกําหนดโทษทางจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเกี่ยวกับความผิด ในการเป็นผู้ดําเนินการสถานพยาบาล และความผิดต่อผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณา นับเป็นจุดเริ่มต้นการดำเนินการตรวจสอบจับกุมอย่างเข้มข้น
ตั้งแต่กรณี“หมอแขวนป้าย”ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังในวงการแพทย์ไทย ลักษณะคือบุคลากรทางการแพทย์จะให้บุคคลอื่นนำชื่อตนไปเปิดสถานพยาบาล โดยเฉพาะจำพวกคลินิกเสริมความงาม ซึ่งแพทย์จะได้รับค่าตอบแทนรายตั้งแต่ 10,000 – 50,000 บาทต่อเดือน โดยที่ไม่ต้องประจำคลีนิคแต่อย่างใด และสามารถไปทำงานหรือทำอย่างอื่นได้อย่างอิสระ ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ดังที่กล่าวมาข้างต้น
โดยประชาชนผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์ได้รับผลกระทบโดยตรงต่อสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น รอบปีผ่านมาพบมีการแจ้งร้องเรียนแทบทุกเดือน ขณะที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) มีการตรวจสอบคลินิกต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ แพทยสภาได้ดำเนินการตรวจสอบปราบปรามกรณีปัญหาแพทย์แขวนป้ายอย่างเข้มข้น มีมติเป็นเอกฉันท์ในความผิด “แพทย์แขวนป้าย” จากเดิมจะมีว่ากล่าวตักเตือน หรือพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 1 - 2 เดือน ทั้งนี้ ความผิดเรื่องของการแขวนป้ายตามประกาศแพทยสภาฉบับใหม่ จะเริ่มตั้งแต่พักใช้ใบอนุญาตฯ 1 ปีทันที หากทำผิดซ้ำครั้งที่ 2 หรือไปถึงครั้งที่ 3 จะเพิกถอนใบอนุญาตฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือน ก.พ. 2568
กรณีถัดมา“หมอปักตะกร้า”ประเด็นร้อนในกระแสสังคม หลังเกิดการร้องเรียนแพทย์ที่กระทำความผิดในเรื่องของการโฆษณาในสื่อออนไลน์ ตามข้อมูลของแพทสภาพระบุว่าปี 2566 มีการร้องเรียน 355 คำร้อง ปี 2567 มีการร้องเรียน 476 คำร้อง โดยส่วนใหญ่พบพฤติกรรมแพทย์ให้คำแนะนำหรือเปรียบเทียบสินค้าโดยไม่ได้ขออนุญาต และแม้แพทย์ไม่ได้ปักตะกร้าสินค้าโดยตรง แต่ถือเป็นการชี้นำที่ผิดกฎหมาย แพทย์สามารถให้ความรู้เรื่องยาและอาหารเสริมได้ เช่น วิธีใช้หรือข้อควรระวัง แต่ไม่สามารถระบุชื่อสินค้าหรือเปรียบเทียบว่าดีกว่าตัวอื่น
นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา อธิบายว่าแพทยสภาไม่ได้มีการห้ามโฆษณา แต่จะต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ข้อบังคับแพทยสภา, กฎหมายของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เมื่อมีการกระทำผิดกฎหมายใดกฎหมายหนึ่ง ก็มักจะผิดร่วมมาถึงกฎหมายของแพทยสภา เพราะกฎหมายล้อกันอยู่ จึงมักมีความผิดทั้งคู่ โดยหากผิดกฎหมายของแพทยสภา จะมีบทลงโทษด้านจริยธรรม ส่วนกฎหมายอื่นจะมีโทษปรับด้วย
กรณีการที่จะโฆษณาต้องมีการขออนุญาตก่อน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูเนื้อหา และจะต้องโฆษณาไปตามเนื้อหาที่ขออนุญาต และสิ่งเหล่านั้นต้องพิสูจน์ได้ไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่เกินจริง ส่วนอีกกรณีที่ไม่ได้ขออนุญาตนั้น
ทว่า ส่วนใหญ่มักจะพบเป็นกรณีที่แพทย์ ออกมาให้คำแนะนำว่าสินค้าตัวไหนดี หรือมีการเปรียบเทียบสินค้าหนึ่งกับสินค้าอื่นๆ แม้จะไม่ได้มีการปักตะกร้าสินค้า แต่เนื้อหาเหล่านี้ก็มีความผิดเพราะเป็นการให้ความเห็นและชี้นำ ซึ่งในต่างประเทศกฎหมายนี้เข้มงวดมาก แม้กระทั่งประชาชนด้วยกันเองก็ไม่สามารถทำได้ นอกจากนั้น การโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ก็ถือเป็นความผิดการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วย
“บทลงโทษด้านจริยธรรมของแพทยสภา ขั้นต่ำตอนนี้ส่วนใหญ่จะให้พักใช้ใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพ ส่วนน้อยที่จะเป็นการตักเตือนหรือภาคทัณฑ์ แพทย์บางคนที่มีความผิดก็อาจจะโดนพักใช้ใบอนุญาตได้เลย ซึ่งขั้นต่ำจะพักใช้ 3 เดือนแล้วแต่ความผิด ส่วนกฎหมายอื่นอาจจะรุนแรงกว่าแพทยสภาเนื่องจากมีการเปรียบเทียบปรับได้ และถ้าหากไม่ยอมโดนเปรียบเทียบปรับ ก็อาจถูกฟ้องคดีอาญา ซึ่งมีโทษจำคุก
“ดังนั้น หมอส่วนใหญ่ก็จะยอมเปรียบเทียบปรับ ซึ่งเมื่อมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นเรื่องจะถูกส่งกลับมาที่แพทยสภาเสมอ ก็จะมีบทลงโทษด้านจริยธรรมด้วย ที่ผ่านมาจะไม่กลัว เพราะมีการตักเตือนแต่ตอนนี้มีการพักใช้ใบอนุญาตมากขึ้น หมอหลายคนมักจะยอมเสียค่าปรับแต่ไม่ยอมรับว่ามีการกระทำความผิด ซึ่งในหลักการแล้วการจะเสียค่าปรับได้ นั่นหมายความว่าจะต้องมีการรับความผิด”
แม้คดีประเภทนี้มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่จำนวนคดีที่พิจารณาก็เพิ่มขึ้นทุกปี
รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวให้ข้อมูลเกี่ยวกับประกาศแพทยสภาฯ ฉบับใหม่ ว่าด้วยเกณฑ์การกําหนดโทษทางจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเกี่ยวกับความผิดในการเป็นผู้ดําเนินการสถานพยาบาล และความผิดต่อผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณา กำหนดเกณฑ์การลงโทษขั้นต่ำในความผิดทางจริยธรรม 4 แบบ ที่จะไม่มีการว่ากล่าวตักเตือน ไม่มีการภาคทัณฑ์ อีกต่อไป แม้จะเป็นความผิดครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีความผิดทางอาญาตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีก คือ
1. หมอแขวนป้าย...เจตนาเอาเลข ว. เอาใบประกอบโรคศิลป์ ไปให้ผู้อื่นจดทะเบียนเป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล โดยไม่ได้อยู่ควบคุมจริงตามกฎหมาย เป็นจุดเริ่มต้นของหมอเถื่อนได้
2. หมอเถื่อน แพทย์ที่รู้เห็นเป็นใจ หรือ แพทย์ที่มีฐานะเป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล ต้องรับผิดชอบกรณีปล่อยให้คนที่ไม่ใช่แพทย์ที่ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายไทย มาทำงานแทนหมอ
3.ความผิดฐานโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ฐานโอ้อวดเกินจริง ลามกอนาจาร...พบได้บ่อย ที่แพทย์ทำตัวเป็น influencer, youtuber, tiktoker แล้วตบท้ายด้วยการโฆษณายา อาหารเสริม โฆษณาstem cell หรือสารพัดยาที่มีสรรพคุณเกินจริง
และ 4. โฆษณาอวดอ้างวุฒิ คุณวุฒิ ความเชี่ยวชาญ ที่แพทยสภาไม่เคยให้การรับรอง พบได้บ่อยในการเสริมสวย อวดอ้างประสบการณ์ อวดอ้างความเชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ การใช้ดุลพินิจในการลงโทษถือเป็นอิสระของกรรมการแพทยสภา เพียงแต่คราวนี้จะมีการกำหนดกรอบในการใช้ดุลพินิจเพื่อลงโทษกับความผิด 4 กลุ่มนี้เป็นพิเศษ ไม่ได้มีการออกกฎเกณฑ์การลงโทษอะไรใหม่ เพราะกฎเกณฑ์การลงโทษ ยังมีอยู่เหมือนเดิม 4 แบบ คือ ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาตชั่วคราว และเพิกถอน สิ่งที่เปลี่ยนคือ กำหนดกติกา ในการลงโทษใหม่ให้ชัดเจน เพื่อป้องปราม คนที่มีเจตนาในการกระทำผิด
อีกประเด็นที่น่าจับตา กรณี“หมอปลอม - เภสัชฯ เถื่อน”แพร่ระบาดหนักแม้มีการดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กรณี ตำรวจชุดสืบนครบาลจับ“หมอเถื่อนได้ทุกฟิวส์”นายคมอนันต์ หรือ หมอกอล์ฟ อายุ 39 ปี เอเยนต์ค้ายาเสพติดทางโลกโซเชียลฯ สร้างตัวตนปลอมเป็นจุดขายแอบอ้างว่าเป็นหมอ ให้บริการนำไอซ์ใส่เข็มไปฉีดให้ลูกค้าถึงเตียงนอนกลุ่ม LGBTQ+ ชายรักชาย
หรือการจับกุม“หมอเถื่อน วัย 74 ปี”พฤติกรรมสวมชื่ออาจารย์หมอที่มีตัวตนอยู่จริง สมัครพาร์ทไทม์รักษาผู้ป่วยคลินิกย่านลาดพร้าว อาศัยประสบการณ์เคยทำงานกับหมอและศึกษาแบบครูพักลักจำกับหมอจริง ออกตระเวนแอบอ้างเป็นหมอไปสมัครทำงานในคลินิกเวชกรรมรักษาคนไข้ทั่วไป เพราะรายได้ดี นำเงินที่ไปเล่นพนัน
และกรณีการจับกุม“หมอฟันเถื่อน”โดยทันตแพทยสภาประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนนำกำลังเข้าจับกุมขณะรักษาคนไข้ขูดหินปูน โดยเจ้าตัวสารภาพ จบการศึกษาคณะทันตแพทยศาสตร์ภายในประเทศ แต่ยังไม่ได้สอบใบประกอบวิชาชีพ จึงใช้วิธีการปลอมแปลงใบประกอบวิชาชีพทันตแพทย์รายอื่น เพื่อแสดงว่าตนมีใบประกอบวิชาชีพเพิ่มความน่าเชื่อถือ และสมัครเป็นทัตนแพทย์และให้การรักษาผู้ป่วยตามคลินิกต่างๆ โดยทำมาแล้วประมาณ 2 ปี
นอกจากนี้ ยังเกิดกรณีผู้ใช้โซเซียลมีเดียจำนวนหนึ่งมีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นแพทย์ มีการโพสต์ภาพคลิปโชว์หลักฐานต่างๆ ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวนั้นเป็นแพทย์ แต่สุดท้ายถูกจับโป๊ะสวมรอย ซึ่งพบต่อเนื่องอย่างเป็นอรากฎการณ์ในโลกออนไลน์ โดยในประเด็นนี้ นพ.อิทธพร คณะเจริญเลขาธิการแพทยสภา ให้ข้อมูลว่าสามารถการตรวจสอบได้ทันทีผ่านเว็บแพทยสภา และในฐานะนายทะเบียนได้ดำเนินการตามกฎหมายโดยแจ้งความร้องทุกข์กับหน่วยงานที่รับผิดชอบแล้ว
ตลอดจนปฎิบัติการจัดระเบียบร้านขายยาจับกุมเภสัชกรเถื่อนของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ให้ตรวจสอบร้านขายยากลุ่มเสี่ยงที่มีพฤติการณ์ใช้พนักงานขายยาที่ไม่ใช่เภสัชกร จำหน่ายยาให้ประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้ ร้านขายยาจะต้องมีเภสัชกรประจำเพื่อแนะนำข้อมูล สรรพคุณ ปริมาณ และวิธีการใช้ยาแก่ประชาชนก่อนตัดสินใจเลือกซื้อยาไปรับประทานเพื่อรักษาโรค ซึ่งหากบริโภคผิดวิธี หรือในกรณีผู้ที่แพ้ยาบางประเภท อาจไม่ได้ผลการรักษาตามที่คาดหวัง หรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยพบว่าร้านขายยาส่วนใหญ่ได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่ไม่มีเภสัชกรประจำอยู่ โดยผู้ที่ขายยาไม่ใช่เภสัชกร
เป็นที่น่าจับตาแม้มีการดำเนินการจับกุม “หมอปลอม - เภสัชกรเถื่อน” แต่ยังมีผู้กระทำผิดสวมรอยเป็นบุคลากนทางการแพทย์อย่างมิเกรงกลัว นับเป็นโจทย์ของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามเพื่อรักษาสวัสดิภาพของประชาชน