กลายเป็นประเด็นร้อนหลังโซเซียลมีเดียมีการเผยแพร่คลิปพฤติกรรมฉาว กรณีไกด์เถื่อนชาวจีนโวยวายนักท่องเที่ยวชาวจีนบนรถบัส สาเหตุไม่ซื้อสินค้าจากร้านศูนย์เหรียญ พร้อมขู่ทัวร์จีนทั้งคันรถว่าจะทำให้กลับเมืองจีนไม่ได้ ได้สร้างความหวาดกลัวให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าเมืองไทยไม่ปลอดภัย รวมทั้งสร้างภาพจำเป็นว่าแหล่งอาชญากรรม
เบื้องต้นพบว่าบริษัท เฟงรุ้น ทราเวล แอนด์เทรดดิ้ง จำกัดเป็นบริษัทที่รับผิดชอบกรุ๊ปทัวร์จีนที่ปรากฎในคลิป โดยได้จัดโปรแกรมกรุงเทพฯ – พัทยา - กรุงเทพฯ 5 คืน 6 วัน มีนักท่องเที่ยวชาวจีน จำนวน 24 คน และมีผู้นำเที่ยวชาวจีนจำนวน 2 คน ส่วนชาวจีนที่ปรากฎในคลิปข่มขู่ข้างต้น คือMr. Zhang Bo หนึ่งในผู้นำเที่ยวของบริษัท Huiyouซึ่งเป็นบริษัทนำเที่ยวจากประเทศจีนให้บริการนักท่องเที่ยวชาวจีน
นายอาเย แขมือผู้ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ของไทย ให้ข้อมูลว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2568 บนรถบัสนำเที่ยว หน้าร้านจิวเวอรี่ RED 88 บางพระ ขากลับเข้ากรุงเทพฯ เกิดการโต้เถียงระหว่าง Mr. Zhang Bo กับนักท่องเที่ยวชาวจีน สาเหตุไม่พอใจที่ไม่ซื้อสินค้าร้านปลอดภาษี ซึ่งโต้เถียงในช่วงเวลาสั้นๆ โดยยืนยันว่าหลังจบทริปการเดินทางนักท่องเที่ยวได้เดินทางกลับประเทศจีนโดยสวัสดิภาพทุกคน
อย่างไรก็ตาม หลังเจ้าหน้ากองทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กรมการท่องเที่ยวร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว ได้นำกำลังบุกค้นตรวจสอบ บริษัท เฟงรุ้นฯ พบความผิดอาจเข้าข่าย“ขายรายการนำเที่ยวต่ำกว่าทุน”มีความผิดตามมาตรา 31 และมีโทษตามมาตรา 84“จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
แต่ที่ถูกจับจ้องเป็นพิเศษ กรณีเจ้าหน้าที่รัฐของไทยชี้ชัดว่า “พฤติกรรมของ Mr.Zhang Bo ไม่เข้าลักษณะการทำหน้าที่ไกด์เถื่อน”ส่วนที่มีการข่มขู่ความหวาดกลัวให้กับนักท่องเที่ยวนั้นในเบื้องต้นบริษัท เฟงรุ้นฯ มีการประสานให้บริษัท Huiyou ว่ากล่าวตักเตือน และลงโทษ Mr.Zhang Bo ต่อไป
ขณะเดียวกัน มีการเปิดเผยข้อมูลในโซเซียลมีเดียจีน ระบุว่า ไกด์ชาวจีนผู้ก่อเหตุฉาวโฉ่ขู่นักท่องเที่ยวจีน ไม่มีใบอนุญาตมัคคุเทศก์นำเที่ยวตามกฎหมาย แต่ทำอาชีพมัคคุเทศก์ในประเทศไทยเป็นเวลานาน โดยมีพฤติกรรมเสนอขายโปรแกรมท่องเที่ยวราคาถูกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทย และระหว่างเดินทางเขามักคะยั้นคะยอให้นักท่องเที่ยวซื้อของ เพื่อที่เขาจะได้ค่าคอมมิชชั่น รวมทั้งมักใช้คำพูดข่มขู่นักท่องเที่ยวที่ไม่ยอมซื้อของ บางครั้งถึงขั้นใช้วิธีที่เลวร้ายคือ กักตัวนักท่องเที่ยวไว้ในรถ นอกจากนี้ เคยถูกตำรวจจับมาแล้วในความผิดด่าว่านักท่องเที่ยวด้วยวาจาลบลู่หยาบคายเพื่อบีบบังคับให้นักท่องเที่ยวซื้อหมอนยางพารา ซึ่งผู้รับผิดชอบในบริษัทนำเที่ยวซึ่งเป็นสัญชาติไทยก็ถูกจับด้วย
นอกจากนี้ สถานทูตจีนในไทยแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวจีนว่าอย่าหลงเชื่อพวกทัวร์ราคาถูก โดยกรณีที่จะมาเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์ให้เลือกบริษัทนำเที่ยวที่มีใบประกอบการตามกฎหมาย น่าเชื่อถือ ดำเนินการ/บริการอย่างมีมาตรฐาน เลือกผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่ราคาสมเหตุสมผล และมีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ตามกฎหมายไทย ไม่อนุญาตชาวต่างชาติทำงานเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวในไทย หากเกิดข้อพาทใด ให้ใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ เก็บหลักฐาน และติดต่อสายด่วนตำรวจท่องเที่ยวไทยที่หมายเลข 1155 หรือสายด่วนการคุ้มครองทางกงสุลของสถานทูตที่หมายเลข 02-245-7010 เพื่อขอความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สังคมจับตาคือ คดีนี้อาจจะกำลังกลายเป็น “มวยล้มต้มคนดู” หรือไม่ เพราะ Mr.Zhang Bo คนก่อเหตุได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้วเมื่อวันที่ 13 ต.ค. จนเกิดคำถามว่า ปล่อยให้ผู้กระทำผิดตัวจริงหลุดรอดไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? แถมบรรดาหน่วยงานภาครัฐยังสรุปว่า “พฤติกรรมยังไม่เข้าลักษณะการทำหน้าที่ไกด์เถื่อน” ทั้งที่ มีคลิปพยานหลักฐานชัดเจนว่าเขาทำหน้าที่นำเที่ยวและข่มขู่ โดยมีไกด์ไทยถูกใช้เป็นฉากบังหน้าให้บริษัทต้นสังกัด
แปลไทยเป็นไทยก็คือ นี่เท่ากับการจงใจช่วยให้ Mr.Zhang Bo รอดพ้นความผิดอาญาฐานแย่งอาชีพสงวน และช่วยให้บริษัททัวร์รอดพ้นจากการถูกพักใช้ใบอนุญาตหรือไม่?
นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐเลือกที่จะดำเนินคดีกับบริษัทต้นสังกัด ในข้อหา “ขายรายการนำเที่ยวต่ำกว่าทุน” (มาตรา 31) ซึ่งมีโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท ซึ่งการเลือกใช้ข้อหานี้ ทำให้ บริษัท สามารถกลับมาเปิดใหม่ได้ง่ายๆ และไม่กระทบต่อเครือข่ายทุนเถื่อนที่อยู่เบื้องหลัง เสมือนหนึ่งเป็นการซื้อเวลาให้ทุนเถื่อนกลับมาทำลายการท่องเที่ยวไทยอีกหรือไม่?
ในประเด็นดังกล่าวข้างต้นนั้น นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส. กทม. พรรคประชาชน เรียกร้องไปยัง “นาย อรรถกร ศิริลัทธยากร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เข้ามา ตรวจสอบและกำกับดูแล ผลการสอบสวนของกรมการท่องเที่ยวด้วยตนเองอย่างเคร่งครัด ห้ามปล่อยให้จบที่สำนวนเบาแล้วลงโทษเป็นพิธี ต้องพิจารณาขยายผลการดำเนินคดีข้อหาประกอบอาชีพมัคคุเทศก์โดยไม่ได้รับอนุญาต และตรวจสอบโครงสร้างบริษัทนอมินีให้ถึงที่สุด รวมทั้ง ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ กรณีปล่อยให้ผู้กระทำผิดบินหนีออกนอกประเทศ เป็นความบกพร่องโดยสุจริต หรือมีการเจรจาส่วนตัวเพื่อให้คดีเบาลงและผู้กระทำผิดหลบหนีหรือไม่
ทั้งนี้ เพื่อปกป้องอาชีพสงวนของคนไทยรัฐบาลไทยต้องแสดงความจริงใจด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อคืนอาชีพและศักดิ์ศรีให้กับมัคคุเทศก์ไทย ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นในด้านการท่องเที่ยว ไม่ยอมให้ทุนเถื่อนและการบังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานทำลายระบบท่องเที่ยวต่อไป
พร้อมกันนี้ สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเคลื่อนไหวโดยเรียกร้องให้มัคคุเทศก์ทุกภาษาร่วมกันเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำการให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย และให้บริษัทดังกล่าวออกมารับผิดชอบและให้ความกระจ่างต่อสังคมโดยเฉพาะสังคมประเทศจีน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยเดินหน้าปราบปรามปัญหาทัวร์นอมินีและมัคคุเทศก์เถื่อนอย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ 5 หน่วยงานหลัก จัดตั้ง“ศูนย์ปฏิบัติการร่วมแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (ศปต.)”เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทย
กำหนดบทลงโทษตามกฎหมาย สำหรับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ไม่มีใบอนุญาต โทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และสำหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่มัคคุเทศก์ โดยไม่มี ใบอนุญาต โทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ตลอดจนกำหนดมาตรการเข้มงวดในการโฆษณาขายทัวร์ ต้องแสดงข้อมูลชัดเจน ประกอบด้วย เลขที่ใบอนุญาต ชื่อบริษัท สถานที่ตั้ง
แต่กลับพบมีการลักลอบประกอบกิจการทัวร์นอมินีและมัคคุเทศก์เถื่อน สร้างผลกระทบทางต่อเศรษฐกิจและส่งผลเชิงลบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย ฉายภาพปัญหาเรื้อรังที่รัฐบาลไทยไม่สามารถปราบปรามให้หมดไป
อีกทั้ง กรณีที่กล่าวมาข้างต้นได้ตอกย้ำปัญหา“ทัวร์ทุบตลาด” ที่มีความรุนแรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยหนักยิ่งว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ในประเด็นนี้นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพรนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่าหลังจากประเทศไทยยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่า) ให้กับนักท่องเที่ยวจีน ได้เกิดรูปแบบ “ทัวร์ทุบตลาด” โดยบริษัททัวร์ของจีนที่ใช้คนไทยเป็นนอมินี ได้นำนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยโดยทำราคาแบบต่ำที่สุดเพื่อตัดราคาให้บริษัททัวร์ไทยอยู่ไม่ได้
กล่าวสำหรับ “ทัวร์ทุบตลาด” ลักษณะเป็นกลุ่มคนจีนเข้ามาทำธุรกิจในไทยทั้งกระบวนการ เน้นขายทัวร์ต่ำกว่าราคาที่กำหนด โดยไม่สนใจว่าจะขาดทุนหรือไม่ เพราะหากขาดทุนก็แค่ถอยกลับไป จากนั้นก็มีกลุ่มคนจีนกลุ่มใหม่เข้ามาทำต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยเสียหายอย่างหนัก อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยพังทั้งระบบ บีบให้บริษัททัวร์ไทยให้ล้มหายไปในที่สุด
โดยปัจจุบันภาคธุรกิจท่องเที่ยวกำลังเผชิญปัญหาจากการขายตัดราคา ซึ่งการหั่นราคาเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์สามารถทำลายตลาดได้ มิหนำซ้ำ เมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มนี้มาถึงเมืองไทยกลับข่มขู่บีบบังคับให้ซื้อของ เฉลี่ย 70,000-100,000 บาทต่อคน ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย ทำลายตลาดกระทบเศรษฐกิจท่องเที่ยวอย่างรุนแรง
ขณะที่ ข้อมูลสถานการณ์ท่องเที่ยวของกระทรวงท่องเที่ยว เปิดเผยว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 12 ต.ค. 2568 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย มากกว่า 25 ล้านคน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1.15 ล้านล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจีนครองอันดับ 2 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสูงสุด ประมาณ 3.5 ล้านคน นับเป็นสัดส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย
สถานการณ์ปัญหา “ทัวร์นอมินี” และ “ไกด์เถื่อน” นับเป็นข้อโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลไทย.