xs
xsm
sm
md
lg

โลกล้อมเขมร “ฮุน เซน”ใกล้ล่มสลาย ส่อเกิดสงครามกลางเมือง-อำนาจเปลี่ยนมือ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“รศ.ดร.อัทธ์” ชี้ กัมพูชาเจอ 4 รุม 1 “ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้” ย้ายฐานการผลิต “ไทย”ปิดด่าน ทำเขมรตกงาน ขาดรายได้ ขณะที่ราคาสินค้าพุ่งกระฉูด ซ้ำโดน “สหรัฐฯ-โสมขาว” เล่นงานแก๊งสแกมเมอร์ สกัดธุรกิจฟอกเงิน ส่งผลภาพลักษณ์กัมพูชาฉาวโฉ่ทั่วโลก นักท่องเที่ยวหดหาย ระบุ “ฮุน เซน”เริ่มเสื่อมอำนาจ เศรษฐกิจเขมรใกล้ล่มสลาย ชาวบ้านที่อดอยากอาจลุกฮือ ขับไล่“ตระกูลฮุน” นำไปสู่สงครามการเมือง เชื่อ กองกำลัง BHQ ก็เอาไม่อยู่ สุดท้ายอำนาจอาจเปลี่ยนไปอยู่ในมือของ “พล.อ.เตีย บัญ”

การที่ทั้งสหรัฐฯและเกาหลีใต้ต่างประกาศว่าจะจัดการกับแก๊งสแกมเมอร์ใน“กัมพูชา”ที่ทำอันตรายแก่พลเมืองของทั้งสองประเทศทั้งทางด้านทรัพย์สินและร่างกาย ไปจนถึงทำให้สูญเสียชีวิต ได้กลายเป็นประเด็นร้อนไปทั่วโลก ในขณะที่ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นเพิ่งประกาศว่าจะย้ายฐานการผลิตออกจากกัมพูชา อีกทั้งยังมีปัญหากับประเทศไทยจนนำไปสู่การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างไม่มีกำหนด เรียกได้ว่าขณะนี้ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กำลังเจอกับปฏิบัติการ“โลกล้อมกัมพูชา” เลยทีเดียว

ส่วนว่ากัมพูชาต้องเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง และไทยควรดำเนินนโยบายอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ คงต้องไปฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน วิเคราะห์ว่า ขณะนี้กัมพูชากำลังเผชิญกับมาตรการของประเทศต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือของประเทศชนิดที่เรียกว่า“โลกล้อมกัมพูชา” ไม่ว่าจะเป็นมาตรการของไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือสหรัฐอเมริกา

สำหรับประเทศไทยนั้นมีมาตรการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาซึ่งนอกจากจะทำให้กัมพูชาสูญเสียรายได้จากการส่งออกสินค้าเพราะไม่สามารถส่งสินค้ามาขายที่ไทยและขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆที่เคยนำเข้าจากไทยแล้ว ยังทำให้ขาดรายได้จากการท่องเที่ยวและสูญเสียรายได้จากแรงงานที่ข้ามมาทำงานในฝั่งไทยอีกด้วย ซึ่งประมาณการมูลค่าความเสียหายแล้วอาจสูงถึงเดือนละ 17,000 ล้านบาทเลยทีเดียว และแม้กัมพูชาจะสามารถนำเข้าสินค้าจากมาเลเซียได้แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนสินค้าจากไทยได้ มีเพียงน้ำมันเชื้องเพลิง และอาหารแปรรูปบางชนิดเท่านั้น เพราะมาเลเซียไม่มีสินค้าหลักๆที่กัมพูชาต้องการ โดยเฉพาะน้ำตาล วัสดุก่อสร้าง และชิ้นส่วนรถยนต์ อีกทั้งสินค้าที่ส่งไปจากมาเลเซียยังมีราคาสูงกว่าสินค้าไทยมาก

ส่วนญี่ปุ่น มีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตชินส่วนรถยนต์ออกจากกัมพูชา เนื่องจากฐานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยและกัมพูชามีความเชื่อมโยงกัน เมื่อมีการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาจึงทำให้การขนส่งวัตถุดิบและชิ้นส่วนยานยนต์ระหว่างไทย-กัมพูชามีต้นทุนที่สูงขึ้น เมื่อผู้ผลิตแบกรับต้นทุนไม่ไหวก็จำเป็นต้องย้ายฐานการผลิต ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้เกิดปัญหาการว่างงานในกัมพูชามากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีการย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นอาจจะใช้เวลา แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือในขณะที่ญี่ปุ่นถอนตัวออกไปกลับไม่มีนักลงทุนรายใหม่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา เนื่องจากปัจจัยต่างๆไม่เอื้อต่อการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนปัญหาเรื่องความปลอดภัยหลังจากมีข่าวครึกโครมเรื่องการลักพาตัวและซ้อมทรมานเหยื่อชาวต่างชาติของแก๊งสแกมเมอร์ ทั้งนี้ที่ผ่านมาญี่ปุ่นลงทุนในกัมพูชามากเป็นอันดับที่ 3 รองจากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมูลค่าการลงทุนของญี่ปุ่นอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท หากญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตก็ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจกัมพูชาไม่น้อยทีเดียว


ขณะที่เกาหลีใต้นั้น นอกจากก่อนหน้านี้จะเริ่มปิดโรงงานและย้ายฐานการผลิตออกมาจากกัมพูชาแล้ว ล่าสุดยังประกาศที่จะจัดการกับแก๊งสแกมเมอร์ที่กักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายคนเกาหลีที่ถูกลักพาตัวหรือหลอกไปทำงานในกัมพูชา ซึ่งอาจส่งผลให้เกาหลีใต้ย้ายฐานการผลิตออกไปมากขึ้นเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย ทั้งนี้ที่ผ่านมาเกาหลีใต้เข้าไปตั้งโรงงานผลิตเสื้อผ้า ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และสินค้าเกษตรแปรรูปในกัมพูชา อาทิ โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของฮุนไดที่เกาะกง แต่หลังจากที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากกัมพูชาจาก 0% เป็น 19% ก็ทำให้เสื้อผ้าและสินค้าเกษตรแปรรูปส่งออกได้น้อยลง ทำให้ผู้ผลิตบางส่วนต้องปิดโรงงานในกัมพูชา ขณะที่ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของเกาหลีใต้ในกัมพูชาก็ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องจากฐานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยและกัมพูชามีความเชื่อมโยงกัน ทำให้การขนส่งวัตถุดิบและชิ้นส่วนยานยนต์ระหว่างไทย-กัมพูชมีต้นทุนสูงขึ้นมากและใช้เวลานานขึ้นหลายเท่า ส่งผลให้ห่วงโซ่การผลิตสะดุด ทำให้ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของเกาหลีใต้ต้องตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากกัมพูชา โดยมูลค่าการลงทุนของเกาหลีใต้ในกัมพูชานั้นสูงถึง 280,000 ล้านบาท ซึ่งหากเกาหลีใต้ย้ายฐานการผลิตออกจากกัมพูชาจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก

ด้านสหรัฐฯก็เล่นงานกัมพูชาเรื่องแก๊งสแกมเมอร์และธุรกิจฟอกเงิน ซึ่ง นายเฉิน จื้อ ประธานบริษัท Prince Group ที่ปรึกษาของ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และที่ปรึกษาของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถือเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ที่สุดที่รัฐบาลสหรัฐฯฟ้องและทำการอายัดทรัพย์ โดยนายเฉินทำธุรกิจสแกมเมอร์ ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ที่มีเครือข่ายระดับโลกอีกทั้งยังมีรายชื่ออยู่ในงานวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมายของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด นอกจากนั้นยังมีนักธุรกิจสีเทาในกัมพูชาอีกประมาณ 10 รายที่อยู่ในบัญชีของสหรัฐฯ ซึ่งการดำเนินการของสหรัฐฯครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจของกัมพูชาอย่างหนัก และยิ่งตอกย้ำความเป็นเมืองหลวงของสแกมเมอร์โลก

ที่สำคัญที่ผ่านมาธุรกิจสแกมเมอร์ในกัมพูชามีรายได้ถึงปีละ 9 แสนล้านบาท ซึ่งรายได้เหล่านี้ถูกส่งต่อไปยังฮุน เซนด้วย ขณะที่มูลค่าบิตคอยน์ของนายเฉินที่ถูกสหรัฐฯอายัดไปอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก แต่ก็เชื่อว่าแก๊งสแกมเมอร์ยังมีเงินสะสมอยู่อีกมากเพราะรายได้ในแต่ละปีสูงถึง 9 แสนล้านบาท และข้อมูลจากงานวิจัยของฮาร์วาร์ดระบุว่า มีคนจาก 70 ประเทศทั่วโลก รวมแล้วกว่า 15,000-200,000 คนที่ถูกหลอกไปทำงานในกัมพูชา อย่างไรก็ดีเชื่อว่าการที่สหรัฐฯและเกาหลีใต้มีมาตรการปราบปราบเรื่องนี้จะทำให้เครือข่ายสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ในกัมพูชาล่มสลายในระยะเวลาอันใกล้นี้

คิม จี-นา รมช.กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ หารือกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลังเกิดเหตุชาวเกาหลีจำนวนมากตกเป็นเหยื่อแก๊งหลอกลวงไปทำงานในกัมพูชา
รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวต่อว่า เมื่อนักลงทุนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ย้ายฐานการผลิตออกไป กัมพูชาก็จะเหลือแต่นักลงทุนจีน แต่เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนก็ยังมีปัญหาจึงเชื่อว่าจีนจะไม่มีการลงทุนเพิ่มในกัมพูชาในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขณะที่การท่องเที่ยวของกัมพูชานั้นนอกจากจะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว ปัญหาการหลอกลวง กักขัง และซ้อมทรมานเหยื่อชาวต่างชาติของแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาที่กำลังอื้อฉาวไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ยังทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มั่นใจในความปลอดภัยและไม่กล้าเดินทางไปเที่ยวกัมพูชา

“ เชื่อว่าจากสถานการณ์ที่โลกล้อมกัมพูชาในขณะนี้ ทั้งมาตรการจากไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา จะทำให้กัมพูชาถูกกดดันเพิ่มขึ้น นักลงทุนเก่าย้ายฐาน นักลงทุนรายใหม่ไม่เข้าไป นักท่องเที่ยวหดหาย เศรษฐกิจก็แย่ลงเรื่อยๆ และคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจกัมพูชาวิกฤตอย่างหนักในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า ประชาชนเขมรจะได้รับความเดือดร้อนจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่คนส่วนใหญ่ตกงาน ไม่มีรายได้ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ฮุน มาเนต และฮุน เซน อยู่ในอำนาจต่อไปได้ยาก ” รศ.ดร.อัทธ์ ระบุ

รศ.ดร.อัทธ์ มองว่า การที่นายเฉิน จื้อ เป็นทั้งที่ปรึกษาของ ฮุน เซน และที่ปรึกษาของ ฮุน มาเนต จึงปฏิเสธได้ยากว่าตระกูลฮุนไม่มีส่วนรู้เห็นกับธุรกิจสแกมเมอร์ของนายเฉิน อีกทั้งเจ้าของธุรกิจสีเทา 10 รายที่ถูกทางหารสหรัฐขึ้นบัญชีดำก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมืองของฮุน เซน และฮุน มาเนต ทั้งสิ้น โดยนักธุรกิจเหล่านี้มีทั้งที่ทำธุรกิจกาสิโน สแกมเมอร์ ค้ามนุษย์ อสังหาฯสีเทา และธุรกิจฟอกเงิน ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของกัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมระดับโลก อีกทั้งมีข้อมูลว่ารัฐบาลกัมพูชาใช้วิธีบริหารประเทศแบบ“รัฐบีบบังคับ” โดยบีบบังคับให้หน่วยงานและบุคลากรของรัฐเอื้ออำนวยให้แก่ธุรกิจสีเทาและขบวนการฟอกเงิน ดังนั้นประเทศที่จะให้การสนับสนุนกัมพูชาจึงต้องคิดหนัก

ดังนั้นรัฐบาลที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จึงควรใช้โอกาสนี้ประสานความร่วมมือกับสหรัฐ เกาหลีใต้ และนานาชาติในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาอย่างจริงจัง เนื่องจากมีงานวิจัยของ Human Rights Council (คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ)ในปี 2023-2024 ที่ระบุว่าไทยก็มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่นี้ด้วย ทำให้ประเทศไทยถูกเพ่งเล็งไปด้วย ไทยจึงต้องรีบปลดล็อกเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

นายเฉิน จื้อ  ประธานบริษัท Prince Group ที่ปรึกษาของฮุน เซน ถูกสหรัฐฯฟ้องและยึดบิตคอยน์มูลค่า 5 แสนล้านบาท ในข้อหาทำธุรกิจสแกมเมอร์และฟอกเงิน
รศ.ดร.อัทธ์ ชี้ว่า เนื่องจากการย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ประกอบกับการปิดด่านชายแดนของไทย ส่งผลให้ราคาสินค้าของกัมพูชาปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าเงินเรียลของกัมพูชาจะอ่อนลงมาก ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของกัมพูชาซึ่งมีอยู่ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จะลดลงเหลือไม่ถึง 1.5 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เพราะต้องนำเงินดอลลาร์ไปซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ขณะที่คนกัมพูชาส่วนใหญ่จะไม่มีรายได้ เพราะที่ผ่านมารายได้ของคนกัมพูชามาจากต่างชาติที่เข้าไปลงทุนตั้งโรงงาน และจากการไปขายแรงงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย ส่วนสินค้าเกษตรของกัมพูชา เช่น มันสำปะหลังและมะม่วงแก้วขมิ้น ซี่งส่วนใหญ่จะส่งมาขายที่ไทยก็ขายไม่ได้เพราะไทยปิดด่าน อีกทั้งยังเจอมาตรการปราบปรามสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทาของสหรัฐฯและเกาหลีใต้ทำให้เงินที่ส่งไปหล่อเลี้ยงผู้มีอำนาจในรัฐบาลกัมพูชาขาดหายไปด้วย จึงเท่ากับว่าตอนนี้กัมพูชากำลังเจอปัญหารอบด้าน

“ การที่เขมรฝีแตก และประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีมาตรการต่างๆที่เกี่ยวกับกัมพูชาออกมาจะช่วยให้ไทยมีโอกาสชนะในการต่อสู้กับกัมพูชามากยิ่งขึ้น ขณะนี้ไทยมาถูกทางแล้ว หากไทยดำเนินมาตรการกดดันด้วยการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาต่อไป พร้อมทั้งกดดันทางการทหาร และร่วมมือกับนานาชาติในการปราบปรามสแกมเมอร์ในกัมพูชา จะทำให้ในที่สุดรัฐบาลกัมพูชาต้องขอเจรจาและดำเนินการตามข้อเสนอของไทย ” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว

รศ.ดร.อัทธ์ ยังได้ประเมินสถานการณ์ของประเทศกัมพูชา ว่า ตอนนี้กำลังเข้าสู่ยุคตกต่ำของฮุน เซน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่มีผลให้อำนาจของตระกูลฮุนสั่นคลอน เนื่องจากปัญหาต่างๆล้วนนำไปสู่ความอดอยากยากจนของคนกัมพูชา จึงเชื่อว่าในที่สุดแล้วคนกัมพูชาจะลุกฮือขึ้นมาขับไล่รัฐบาลฮุน มาเนต ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้แรงงานกัมพูชาหลายพันคนก็ออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องค่าแรงที่เป็นธรรม นี่ถือเป็นสัญญาณว่าประชาชนกัมพุชาหมดความอดทนแล้ว

“ มีโอกาสที่กัมพูชาจะเกิดสงครามกลางเมือง เพราะชาวบ้านทนไม่ไหว เนื่องจากทรัพย์สินต่างๆไปอยู่ในมือตระกูลฮุนหมด ขณะที่คนกัมพูชาไม่มีจะกิน ไม่มีรายได้ ของแพง ความยากลำบากอาจจะทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาประท้วงหรือปฏิวัติ ซึ่งแม้ฮุน เซน จะมีกำลังทหาร BHQ อยู่ 5,000-6,000 นาย แต่ถ้าเทียบกับจำนวนประชาชนกัมพูชาที่มีกว่า 17 ล้านคนแล้ว ทหาร BHQ ก็สู้ไม่ได้ รอบนี้เราอาจจะได้เห็นเขมรแดงภาค 2 ซึ่งในระยะเวลาอันใกล้นี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเขมร เพราะฮุน เซน เริ่มเสื่อมอำนาจ คนกัมพูชาก็ไม่เห็นด้วยที่มารบกับไทยเพราะทำให้เขาลำบาก กลุ่มอำนาจ 3-4 ฝ่ายที่อยู่ในกัมพูชาก็อาจจะย้ายข้าง จึงเป็นไปได้ที่อำนาจจะเปลี่ยนไปอยู่ในมือ พล.อ.เตีย บัญ ” รศ.ดร.อัทธ์ ระบุ
กำลังโหลดความคิดเห็น