ประเทศไทยเดินหน้ากระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ด้วยการแต่งตั้ง ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เป็น อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แอมบาสเดอร์ หวังดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5-10 ล้านคน สร้างรายได้ 2.5-5 แสนล้านบาทในปี 2569
ท่ามกลางสมรภูมิอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่หลายประเทศแข่งขันอย่างดุเดือด ประเทศไทยเดินหน้าเปิดเกมรุกครั้งสำคัญ ด้วยการดึงพลังซุปตาร์ระดับโลกอย่าง 'ลิซ่า ลลิษา มโนบาล' มานั่งแท่น 'อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แอมบาสเดอร์' อย่างเป็นทางการ โดยนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การเซ็นสัญญากับลิซ่า เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำคุณภาพสูง และสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว ด้วยการดึงศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาประชาสัมพันธ์ สำหรับระยะเวลาดำเนินโครงการอยู่ที่ 12 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2568 - 29 กันยายน 2569 ลิซ่าจะร่วมแสดงในภาพยนตร์โฆษณาน่าจะเปิดตัวในเดือนมกราคม 2569 ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยจริง 5-10 ล้านคนในปี 2569 สนับสนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าเป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมกับประเมินว่าสร้างรายได้ราว 2.5-5 แสนล้านบาท และมีส่วนผลักดันให้รายได้รวมการท่องเที่ยวแตะระดับ 3 ล้านล้านบาทในปี 2569 เท่ากับปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด
ด้าน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า จะนำเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า โดยประชาชนทั่วไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวได้สูงสุด 20,000 บาท ท่องเที่ยวเมืองรองลดภาษีได้ 1.5 เท่า เมืองหลัก 1 เท่า ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม-15 ธันวาคม 2568
“หากท่องเที่ยวในเมืองรอง จะได้รับสิทธิหักลดหย่อนเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า เช่น ใช้จ่าย 10,000 บาท จะหักลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้เงินกระจายไปยังพื้นที่เมืองรอง” นายเอกนิติกล่าว
นายเอกนิติ กล่าวว่า ภาคเอกชนมีข้อเสนอว่านิติบุคคลสามารถช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ บริษัทขนาดใหญ่ปกติพาพนักงานไปท่องเที่ยวต่างประเทศ อาจเปลี่ยนมาท่องเที่ยวในประเทศ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ ขณะที่ภาครัฐมีงบประมาณอยู่แล้ว ไม่ได้ใช้งบใหม่ โดยในส่วนของหน่วยงานราชการมีอยู่ 3,000 กว่าล้านบาท รัฐวิสาหกิจมี 3,000 กว่าล้านบาท และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีงบตั้งไว้สำหรับอบรมสัมมนาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เร็วขึ้นจากปกติจะใช้จ่ายในไตรมาสที่ 3 หรือไตรมาสที่ 4โดยต้องเบิกจ่ายให้ได้ภายในเดือนมกราคม 2569 ถึง 60% ของงบฝึกอบรมสัมมนา ซึ่งตรงนี้จะกระตุ้นดีมานด์ได้เป็นอย่างดี