สงครามเซียนพระระหว่าง “บอย ท่าพระจันทร์” และ “โอ๊ต บางแพ” ปฐมบทจากความเห็นต่าง “พระแท้...พระเก๊” กรณีของ “เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ ปี 2508 ไม่ผ่าปาก เนื้อทองคำ” เปิดศึกปะทะสะเทือนวงการพระเครื่องมูลค่าหลายหมื่นล้าน ภาพสะท้อนพุทธพาณิชย์เบ่งบานเหนือพุทธธรรม จากวัฒนธรรมการสร้างวัตถุมงคลเล่าขานตำนานพระเครื่องเมืองไทย
กล่าวสำหรับ “เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ ปี 2508” จัดสร้างขึ้นโดย วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ในวาระที่พระครูวิสัยโสภณ (ทิม ธมมฺธโร)เจ้าอาวาสวัดช้างให้ในขณะนั้น ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนา เหรียญรุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักสะสม มีการจัดสร้างหลายเนื้อ เช่น เนื้อทองคำ, เนื้อเงิน, เนื้อทองแดงรมดำ และเนื้ออัลปาก้า โดยเฉพาะเนื้อทองคำที่สร้างขึ้นจำนวนน้อย ทำให้มีราคาสูงมาก ซึ่งกำลังเกิดการถกเถียงในวงการพระเครื่อง เกี่ยวกับ "บล็อก" หรือ “แม่พิมพ์” ที่ใช้ในการปั๊มเหรียญ ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างออกไป
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในวงการพระเครื่องพระบูชาเมืองไทย เซียนพระเปิดศึกผ่านโซเซียลฯ ก่อนปะทะเดือดฟาดปากใส่กับยับผ่ารายการโหนกระแส ทางช่อง 3 กดหมายเลข 33 โดยจุดเริ่มเรื่องบอย ท่าพระจันทร์ หรือ นายอรรถวัติ ศิริสิทธิธงไชยเซียนพระเหรียญชื่อดัง เช่าซื้อ “เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ ปี 2508 ไม่ผ่าปาก เนื้อทองคำ” ในราคาสูงหลักล้านบาท โดยนำเสนอผ่านโซเชียลฯ ของตนพร้อมยืนยันว่าเป็น“พระแท้”ดูง่ายตามมาตรฐานสากลที่วงการพระเครื่องยอมรับกัน ย้ำของแท้ต้องดูที่รอยตัด อีกทั้ง เปรียบเทียบกับเหรียญเนื้ออัลปาก้าของแท้ที่มีตรงกันทุกประการ พร้อมประกาศรับบูชาเหรียญละ 5 ล้าน
ขณะที่ โอ๊ต บางแพ หรือ นายณัฐวัฒน์ ปรียาธรเซียนพระผู้คร่ำหวอดในวงมานานกว่า 25 ปี ออกมาตอบโต้ผ่านไลฟ์สดคัดค้าน เป็นแค่“รุ่นถอดพิมพ์”และท้าพิสูจน์ถึงขั้นเลิกเล่นพระ โดยระบุว่าเหรียญหลวงปู่ทวดรุ่นดังกล่าว หากอ้างจากตำราข้อมูลเท่าที่เคยมีมาในวงการพระเครื่อง มีเฉพาะ“บล็อกผ่าปาก”เท่านั้น และ “บล็อกไม่ผ่าปาก” ไม่มีอยู่ในสารบบ ยืนยันว่าเหรียญดังกล่าวเป็น **“เหรียญบล็อกย้อน”หรือทำขึ้นมาทีหลัง เพราะเหรียญรุ่นนี้ที่สร้างในปี 2508 ต้องมีตำหนิผ่าปากทุกเหรียญ เพราะเป็นตำหนิที่เกิดขึ้นตอนแกะบล็อกพระซึ่งลบออกไม่ได้
ขณะที่ “โทน บางแค” และ “อ.รักษ์ ศรีเกตุ”เซียนพระแถวหน้าเมืองไทย สักขพยานศึกเหรียญหลวงปู่ทวด ร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านรายการโหนกระแส ที่ดูจะเอนเอียงเห็นพ้องกับฝั่ง “บอย ท่าพระจันทร์” สรุปสาระสำคัญความว่า การยุติข้อถกเถียงกรณี “เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ ปี 2508 ไม่ผ่าปาก เนื้อทองคำ” ที่กำลังตกเป็นประเด็นร้อน สามารถทำได้โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยการนำมาเปรียบเทียบรอยตัดที่ขอบกับเหรียญรุ่นเดียวกันที่เป็นเนื้อมาตรฐานซึ่งวงการยอมรับว่าเป็นพระแท้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เช่น เนื้อทองแดง หากรอยตัดของเหรียญทองคำตรงกับรอยตัดของเหรียญทองแดงที่ได้รับการยอมรับ ก็สามารถสรุปได้ว่าเหรียญทองคำนั้นถูกตัดด้วยตัวตัดเดียวกันกับเหรียญแท้ในยุคนั้น และถือเป็นพระแท้ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ การพิสูจน์ด้วยรอยตัดของเหรียญจะทำให้ข้อสรุปที่ชัดเจน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเห็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบและยืนยันได้
อย่างไรก็ดี ประเด็น “พระแท้ - พระเก๊” ไม่เพียงเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างเซียนพระคนดังแต่ยังฉายภาพสงครามแนวคิดต่างมุมมอง พอจะสรุปได้ว่า “บอย ท่าพระจันทร์” เชื่อในหลักฐานชุดข้อมูลที่สามารถพิสูจน์เทียบเคียงได้ ขณะที่ “โอ๊ต บางแพ” ปักใจเชื่อในมาตรฐานวงการพระเครื่องอ้างอิงผ่านตำราข้อมูลที่มีการบันทึกไว้
ท้ายที่สุด ยังไม่มีข้อสรุปทางวิชาการชัดเจนว่าเหรียญดังกล่าว “แท้” หรือ “เก๊” มีเพียงความเชื่อของแต่ละฝ่ายเท่านั้น ซึ่งจากสงครามระหว่างเซียนพระ เกิดกระแสในกลุ่มนักสะสมพระเครื่องเรียกร้องให้มีคณะกรรมการกลาง โดยตรวจสอบเหรียญแบบวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้ ตามข้อมูลระบุว่าปัจจุบันเทคนิคทางวิทยาศาสตร์นำมาตรวจสอบพระเครื่องนั้น มีทั้งการวิเคราะห์องค์ประกอบด้วยเทคนิค XRF (X-ray Fluorescence) ใช้ตรวจสอบธาตุโลหะหรือแร่ในพระเครื่องเพื่อเปรียบเทียบกับสูตรผงของยุคสมัยนั้นๆ, การตรวจอายุวัสดุด้วยเทคนิคเรดิโอคาร์บอน (Carbon Dating) โดยเฉพาะในพระที่มีส่วนผสมของอินทรียวัตถุ เช่น ไม้ ผงถ่าน หรือเศษพืช, การวิเคราะห์พื้นผิวด้วยกล้องจุลทรรศน์แรงขยายสูง (Digital Microscope / SEM) เพื่อดูร่องรอยการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ หรือการแกะสลักจากมือมนุษย์ในยุคปัจจุบัน, การวิเคราะห์ด้วย AI และการประมวลภาพ (Computer Vision) ช่วยจำแนกพิมพ์พระ หรือความแตกต่างของเนื้อหาองค์พระในระดับจุลภาค เป็นต้น
กล่าวสำหรับ “เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ ปี 2508” ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุมงคลล้ำค่า แต่ยังสะท้อนคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของวงการพระเครื่องไทย ตั้งแต่เทคนิคการผลิตตลอดจนสร้างความหมายและมูลค่า
และปฏิเสธไม่ได้ว่า “เหรียญหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี” ตลอดจนพระเครื่องพระบูชาของเกจิอาจารย์ระดับตำนาน นัยยะหนึ่งล้วนเป็นสิ่งการันตีพุทธพาณิชย์เบ่งบานเหนือพุทธธรรม ณ ปัจจุบันมูลค่าตลาดพระเครื่องเม็ดเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยประเมินในปี 2562 สูงถึงประมาณ 17,000 – 23,000 ล้านบาท
ต้อย เมืองนนท์ หรือ นายพิศาล เตชะวิภาค รองนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย เปิดเผยว่ามูลค่าตลาดพระปี 2568 เงินหมุนเวียนหลักหมื่นล้าน แต่ชะลอ 30% ระบุ “หัวใจของการอยู่ในวงการพระ คือ การคำนวณ โดยเซียนพระจำนวนมากตัดสินใจเช่าพระราคาแพงเพราะมั่นใจในพื้นฐานราคารองรับ เหมือนการลงทุนทองคำหากซื้อแล้วมีโอกาสขายต่อได้โดยไม่ขาดทุน”
การศึกษาเรื่อง “การสร้างความหมาย และมูลค่าของการเช่าบูชาพระเครื่องหลวงปู่ทวด”โดย วสวัตติ์ เถื่อนคำ เปิดเผยว่าการสร้างความหมายและมูลค่าการเช่าบูชาพระหลวงปู่ทวด เกิดจากความเชื่อในพุทธคุณที่หลากหลาย ทั้งด้านแคล้วคลาด ป้องกันภัยอันตราย เมตตามหานิยม โชคลาภ และการเจริญรุ่งเรือง ซึ่งทำให้ผู้คนหันมาเช่าบูชาเพื่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เสริมความเป็นสิริมงคล และยึดมั่นในศีลธรรม โดยมีปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน คือ ความศรัทธา ความต้องการของตลาด โดยเฉพาะในระดับสากล (soft power) และความผันผวนของเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อราคาซื้อขายพระเครื่อง ซึ่งราคาพระเครื่องไม่มีบรรทัดฐานที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความพอใจ ความนิยม และการตลาด โดยสามารถเกิดการปั่นราคาได้ง่าย
ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโชในฐานะผู้เชี่ยวชาญพระเครื่องหลวงปู่ทวดระดับแนวหน้าของวงการ กล่าวไว้อย่างน่าสนใจความว่า ในอดีตการสร้างพระไม่ได้มีจำนวนมากแบบวันนี้ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ทางพาณิชย์ คนที่ครอบครองมีแค่คนละ 1 - 2 เหรียญ เพื่อคุ้มครอง ปัจจุบันคนเล่นพระเจนหลัง ไม่ได้ให้ความสำคัญที่พุทธคุณ แต่สะสมเป็นมูลค่าเพิ่มเติม ดังนั้น จึงไม่ได้สะสมยาว แต่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นมูลค่าทันที
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของตลาดพระเครื่องจะเป็นผู้ชายที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพระเครื่อง มีกำลังทรัพย์ในการสะสม เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูง และขึ้นอยู่กับว่าเป็นพระแท้ ไม่แท้ นิยม หรือไม่นิยม ราคาอยู่ที่ความนิยมในแต่ละช่วงเวลาและความต้องการของตลาด เช่น พระที่หายากหรือพระที่เป็นตำนาน เช่น พระสมเด็จ โดยราคาพระเครื่องขึ้นมากกว่าราคาทองคำ แถมไม่มีเพดาน พระเครื่องขึ้นอยู่กับความเชื่อ ความศรัทธา บวกกับกระแส มีขึ้น มีลง ไม่แน่นอน
ทั้งนี้ คนที่เป็นนักสะสมพระจริงๆ จะรู้ทันราคากันหมด เพราะปัจจุบันมีสื่อมากมายให้เปรียบเทียบ ต่างกับสมัยก่อนซื้อมาหลักร้อย สามารถขายองค์ละเป็นแสนเป็นล้านได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี แม้มีบ้างแต่ก็น้อยมาก อีกทั้ง เด็กรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบบางคนก็มาทำงานตามร้านเช่าพระพอเริ่มเล่นพระเป็นก็อยากขายเอง
สอดคล้องกับข้อมูลจากงานวิจัย ธุรกิจพระเครื่องออนไลน์กับวิถีความเชื่อในยุค 4.0 เปิดเผยกลุ่มที่นิยมเช่าบูชาพระเครื่องทางออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 31 – 40 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี ประกอบธุรกิจส่วนตัว รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 – 30,000 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มนี้ไม่ได้เช่าบูชาพระเพียงเพราะศรัทธา แต่พวกเข้ามองว่าการเช่าบูชาพระเครื่องเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง โดยพระเครื่องที่ได้รับความนิยมสูงมักจะเป็น “พระเหรียญ” เนื่องด้วยสามารถพิสูจน์แท้-เก๊ได้ง่ายเมื่อเทียบกับพระเครื่องเนื้อดินเผาหรือพระกรุต่างๆ
สุดท้าย “พระเครื่อง” เปรียบเสมือน “สินทรัพย์” แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่สินทรัพย์ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีสิทธิ์ที่จะออกหัวออกก้อยได้เสมอ แต่กระนั้นก็ดี การลงทุนกับพระเครื่องพระบูชาเป็นตลาดทุนที่น่าจับตา ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่า วงการนี้มีผู้คนเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมากในแทบจะทุกวงการ ทั้งประชาชนคนเดินดิน ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ นักการเมือง นักธุรกิจ โดยเฉพาะบรรดานักการเมืองที่พระเครื่องเป็นหนึ่งในบัญชีทรัพย์สินที่ต้องแจ้งกับ ป.ป.ช. รวมถึงบรรดากลุ่มแก๊งต่างๆ ที่มักใช้ในการฟอกเงิน
ขณะที่บรรดา “เซียนพระ” ก็จัดเป็นอาชีพที่ทำเงินทำทองได้อย่างอู้ฟู่ กลายเป็นอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝันที่จะเดินทางไปถึงจุดนั้น ดังจะเห็นได้จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันเหทิศทางเข้าไปสู่วงการพระเครื่องจำนวนไม่น้อยในปัจจุบัน