รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ยืนยันรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง 1 ต.ค. กลับมาจัดเก็บค่าโดยสารปกติ สูงสุด 42 บาท เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ เตรียมคลอดแพคเกจใหม่ ลดค่าเดินทางครอบคลุมรถเมล์และค่าทางด่วน รอหลังแถลงนโยบายก่อนประกาศความชัดเจน เริ่มใช้ภายใน 4 เดือน
วันนี้ (25 ก.ย.) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม กล่าวว่า รถไฟฟ้ามหานคร สายสีม่วง และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จะกลับมาเก็บค่าโดยสารตามอัตราปกติ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะมีการศึกษาและหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงคมนาคม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เดิม สามารถยกเลิกได้หรือไม่ หรือจะสิ้นสุดไปเลยเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จากนั้นจะต้องนำเข้าหารือในที่ประชุม ครม. อีกครั้ง
โดยการเก็บค่าโดยสารอัตราปกติ อาจจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งจนกว่าจะมีความชัดเจน ซึ่งนายกฯ ได้เคยกล่าวและจะอยู่ในนโยบายที่เตรียมแถลงต่อรัฐสภาด้วย ในเรื่องมาตรการลดค่าเดินทางให้ประชาชน เดิมค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสาย เฉพาะรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง แต่มีภาระเรื่องเงินชดเชย จะมีการพิจารณาเพื่อให้ครอบคลุมการเดินทางสำหรับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้นได้หรือไม่ เช่น รถเมล์ปรับอากาศ รถเมล์ร้อน รวมไปถึงภาระการจ่ายค่าทางด่วน ขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จะนำมาพิจารณาร่วมกัน เป็นแพคเกจการลดค่าครองชีพในการเดินทางให้ประชาชน รวมถึงหารือกับเอกชนผู้รับสัมปทานด้วย ทำให้ต้องใช้เวลาบ้าง
ทั้งนี้ องค์ประกอบการเดินทางของประชาชนในแต่ละวัน ไม่ได้อยู่แค่รถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วงเท่านั้น รัฐบาลมองในภาพรวมทั้งหมด เพื่อแบ่งเบาภาระให้ประชาชนคนไทยทุกคน โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีต้นทุนในการเดินทางสูง รวมไปถึงคนต่างจังหวัดที่ต้องได้ประโยชน์ด้วย หากได้เดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ จึงให้ปลัดกระทรวงคมนาคมศึกษาจุดที่คุ้มทุนมากที่สุดอยู่ตรงไหน รัฐบาลที่ผ่านมา 20 บาททุกสาย ทำไมต้องหยุด เพราะรัฐต้องชดเชยปีละเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ใช้ได้แค่คนในกรุงเทพฯ จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบที่สุด เพื่อความสมดุลและพอใจสำหรับคนทั้งประเทศ
"อยากให้รอหลังจากแถลงนโยบายเสร็จก่อน จากนั้นคงไม่เกิน 2 สัปดาห์จะมีการประกาศความชัดเจนและเริ่มใช้ภายใน 4 เดือนแน่นอน ซึ่งนายกฯได้มีการร่างนโยบายต่างๆ เหล่านี้ไว้แล้ว ร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล ขณะนี้ซึ่งต้องยอมรับว่า รัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อยและมีเวลาการทำงานแค่ 4 เดือนดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องทำด้วยความรวดเร็ว" นายพิพัฒน์ กล่าว
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นต้นมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขณะนั้นมีมติเห็นชอบการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในอัตรา 20 บาทตลอดสาย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน โดยเร่งรัดให้ดำเนินการในเส้นทางที่ภาครัฐเป็นผู้เก็บค่าโดยสาร 2 เส้นทาง ได้แก่ รถไฟฟ้ามหานครสายสีม่วง และ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2566 เป็นต้นมา และมีการขยายมาตรการดังกล่าวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา มติคณะรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ 2) โดยทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงและรถไฟฟ้าสายสีแดง จากกรอบเวลาสิ้นสุดมาตรการวันที่ 30 พ.ย. 2568 ให้ทบทวนจากเดิมเป็นสิ้นสุดมาตรการถึงวันที่ 30 ก.ย. 2568 และเปลี่ยนมาตรการใหม่ให้ครอบคลุมรถไฟฟ้ารวม 13 เส้นทาง โดยต้องลงทะเบียนบัตรโดยสารผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐก่อน จากนั้นเดินทางโดยใช้บัตร EMV และบัตรแรบบิทที่ลงทะเบียนไว้ สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2569
ถึงกระนั้น มติ ครม.ดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ 1. ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง, 2. ร่าง พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ 3. ร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ในการตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กระทั่งเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย นายอนุทินกล่าวเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย อาจไม่ได้เดินหน้าต่อไป เนื่องจากต้องมาดูว่า บางโปรเจกต์ทำแล้วขาดทุน หรือต้องไปซื้อมาก็ไม่ได้ พร้อมย้ำว่าต้องรักษาวินัยการเงินการคลัง และโครงการต้องอยู่รอดและพึ่งพาตัวเองได้
สำหรับค่าโดยสารก่อนมาตรการ 20 บาทตลอดสาย รถไฟฟ้ามหานครสายสีม่วง เริ่มต้น 14 บาท สูงสุด 42 บาทต่อเที่ยว คิดตามจำนวนสถานี ส่วนรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เริ่มต้น 12 บาท สูงสุด 42 บาทต่อเที่ยว คิดตามระยะทาง