ระวังสภาสีน้ำเงิน ครอบงำ 'ส.ส.ร.' พรรคประชาชน จุดยืนต้องชัดเจน ภูมิใจไทยยื่นร่างแก้รัฐธรรมนูญ ลดสัดส่วนเสียง ส.ว. – เพิ่ม ส.ส.ร. 99 คน
หลายพรรคการเมืองได้เริ่มทยอยเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแล้ว โดยล่าสุดเป็นคิวของพรรคภูมิใจไทยในการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา โดยสาระสำคัญของร่างแก้ไขดังกล่าว กำหนดให้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ซึ่งได้ปรับสัดส่วนของจำนวนเสียง ส.ว.จะร่วมลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรก และวาระ 3 จากเดิมที่กำหนดให้ต้องเห็นชอบม่น้อยกว่า 1 ใน 3 จากจำนวน ส.ว.ที่มีอยู่ของวุฒิสภา ไปเป็นไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวน ส.ว.ที่มีอยู่ ซึ่งปัจจุบันมีส.ว. 200 คน เท่ากับว่าเสียงของ ส.ว.ที่จะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเหลือเพียง 50 เสียงเท่านั้น
จากนั้น เป็นการเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่กำหนดให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกผู้สมัครที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่ลงสมัครจากจังหวัดต่างๆ จังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน และ 2.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ 22 คน แบ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน 7 คน ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 7 คน และผู้มีประสบการรด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการร่างรัฐธรรมนูญ ตามเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภากำหนด 8 คน
คุณสมบัติของผู้รับเลือกเป็น สสร.จากจังหวัด กำหนดให้ต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี มีการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี เกิดในจังหวัดที่สมัคร มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครไม่น้อยกว่า 1 ปี เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งในจังหวัดที่จะสมัครติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปีการศึกษา เคยรับราชการ หรือปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ หรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดที่สมัคร ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี
ส่วนลักษณะต้องห้ามของผู้จะลงสมัครเป็น สสร.พบว่า ได้อาศัยหลักการเทียบเคียงกับคุณสมบัติของผู้จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และมีประเด็นที่น่าสนใจ คือห้าม ส.ส., ส.ว.หรือข้าราชการการเมืองลงสมัคร ห้ามคนที่ถูกระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งชั่วคราว หรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งลงสมัคร
ขณะที่การเลือก สสร.ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนั้น ให้สมาชิกรัฐสภาเลือกได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ สำหรับผู้ที่จะได้รับคัดเลือกให้นับเรียงลำดับจากผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จนครบจำนวนที่กำหนดไว้ และให้ทำบัญชีสำรองประเภทละ 3 คนไว้ด้วย
ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ขอเรียกร้องให้พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย เปิดพื้นที่ในการพูดคุยต่อสาธารณะให้ประชาชนได้รับทราบไปพร้อมกัน เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายที่ได้ทำ MOA ร่วมกัน ในการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยขึ้นมา ภายใต้เป้าหมายให้มีการทำประชามติ ไปสู่ประตูการแก้รัฐธรรมนูญ ดังนั้น ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงควรแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันทั้ง 2 พรรค เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่า ภายใต้ข้อตกลงนี้ ทั้งพรรคแกนนำรัฐบาลและพรรคแกนนำฝ่ายค้านมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน มีเนื้อหาสาระอย่างเดียวกัน และมีที่มาจากสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แบบเดียวกัน เพื่อผลักดันให้เกิดผลในรัฐสภา เพราะหากต่างคนต่างร่าง หรือต่างคนต่างเสนออย่างที่เป็นอยู่ ก็จะมีปัญหาว่า เมื่อรัฐสภาผ่านวาระแรกไปแล้ว ในชั้นกรรมาธิการจะใช้ร่างฉบับใดเป็นร่างหลัก และถึงที่สุดหน้าตาของ ส.ส.ร. ซึ่งจะเป็นเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะออกมาอย่างที่คนส่วนใหญ่เขากังวลว่า อาจจะเกิดเป็น ส.ส.ร.สีน้ำเงินขึ้นด้วยหรือไม่
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า พรรคประชาชนอย่าได้เกรงใจพรรคภูมิใจไทย ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกมองว่านี่เป็นการเสนอเงื่อนไขที่มีความเกรงใจคู่สัญญามากที่สุดเท่าที่เคยมี และความเกรงใจนี้สร้างความกังวล และสร้างความสับสนในหมู่ประชาชน และอาจทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข แทนที่จะเป็นการเดินหน้าประชาธิปไตยกลับกลายเป็นลากพัฒนาทางการเมืองของสังคมไทยให้ถอยหลังไกลลงไปอีก หากเกิด ส.ส.ร.ที่แอบอิงอยู่กับพลังของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ ระบุว่า แนวทางของพรรคภูมิใจไทยคือให้รัฐสภาเลือกโดยตรงจากแต่ละจังหวัด และเลือกผู้เชี่ยวชาญมาอีก 22 คน ถ้าเป็นรัฐสภาที่ไม่มีข้อครหาเรื่อง ส.ว.สีน้ำเงินก็แบบหนึ่ง แต่เวลานี้ ส.ว.จำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฮั้ว ส.ว. ซึ่งสังคมกำลังมองว่ามีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับพรรคแกนนำรัฐบาล แบบนี้จะนำสู่การร่างรัฐธรรมนูญตั้งต้นประชาธิปไตยได้อย่างไร ดังนั้น เห็นว่าแนวทางของพรรคประชาชน หรือของพรรคเพื่อไทยก็ตาม ที่อย่างน้อยมีสารตั้งต้นให้ประชาชนได้เลือกคนมาทำหน้าที่น่าจะเป็นแนวทางที่พรรคภูมิใจไทยควรจะรับไว้พิจารณา