บริษัทไทยขายกระสุนให้กองทัพมาเลเซีย ท่ามกลางความสัมพันธ์ตึงเครียดไทย-กัมพูชา และมาเลเซียสนับสนุนกัมพูชาอย่างออกนอกหน้า เกิดคำถามถึงความเหมาะสม เหตุใดจึงส่งมอบกระสุนให้ประเทศที่หนุนคู่กรณี ขณะที่เอกชนบางรายพร้อมสนับสนุนกองทัพไทยสู้รุกราน
ทั้งที่ควันศึกระหว่างไทยกับกัมพูชายังไม่ทันจางหายหมดจดและกัมพูชาภายใต้การชักใยของฮุนเซนและฮุนมาเนต สองพ่อลูกตระกูลเขมรแดงที่มีนายอันวา อิบบราฮิม ผู้นำมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนให้การสนับสนุนทางด้านการเมืองระหว่างประเทศแบบออกนอกหน้า ชนิดไม่มีกั๊ก เพราะชัดเจนว่ายืนข้างกัมพูชามากกว่าประเทศไทย
จู่ ๆ ในวันที่ 23 กันยายน สด ๆ ร้อน ๆ กระทรวงกลาโหมกลับเปิดตัวโครงการส่งมอบกระสุนตามสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัทเอกชนของไทยที่มีชื่อว่า “แนแร็กส์อามส์ อินดรัสทรี จำกัด”
ทั้งนี้ในวันดังกล่าวมีพิธีปล่อยรถลำเลียงขนส่งกระสุนคันแรกออกจากบริษัทมุ่งหน้าไปยังชายแดนไทยมาเลเซีย เพื่อส่งมอบกระสุนล็อตแรกให้กับกองทัพมาเลเซีย
โดยผู้ทำหน้าที่ประธานในพิธีดังกล่าวคือ พลเรือเอกสุพัฒน์ ยุทธวงศ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นนายพลเรือเพียงคนเดียวที่ขึ้นเวทีขณะที่ข้างกายเป็นเหล่านายพลทหารบกทั้งสิ้น จนเป็นที่ซุบซิบว่าเหตุใดจึงให้ทหารเรือมาเป็นประธานขายกระสุนปืนสำหรับอาวุธภาคพื้นดินให้กับเพื่อนบ้านที่ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ครหาว่ามีส่วนสนับสนุนขบวนการบีอาร์เอนที่ก่อเหตุรุนแรงในภาคใต้มาโดยตลอดหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นท่าทีล่าสุดของนายอิบบราฮิมผู้นำมาเลเซียยังออกมาแสดงความเห็นใจกัมพูชาจากเหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างมวลชนกัมพูชากับเจ้าหน้าที่ไทยที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว จนกองทัพบกต้องออกมาแถลงการณ์ตอบโต้และเตือนว่าผู้นำมาเลเซีย อย่าหูเบาหลงเชื่อละครลวงโลกที่กัมพูชาจัดฉากขึ้น
ว่ากันว่าการที่นายอันวาผู้นำมาเลเซีย วางตัวแบบไม่เป็นกลาง แต่เอียงกระเท่เรไปทางฝั่งกัมพูชา เป็นเพราะว่ามาเลเซียไปลงทุนสร้าง Entertainment Complex ที่ใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินเขมร จึงเท่ากับว่า มาเลเซียมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ในประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งเป็นคู่กรณีกับไทย และนี่จึงน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้นำมาเลเซียเสนอหน้าเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้จักจบ ทั้งที่ไทยกับกัมพูชาลงนามหยุดยิงกันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีข่าวเฟคนิวส์ที่เผยแพร่ในสื่อกัมพูชาว่ามาเลเซียจะส่งเครื่องบินขับไล่มาช่วยเหลือกัมพูชา จนชาวกัมพูชาเกิดความฮึกเหิมที่จะสนับสนุนกองทัพให้เปิดศึกกับไทยอีกครั้ง
และทั้งที่มาเลเซียมีท่าทีที่น่าคลางแคลงใจต่อสถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา กระทรวงกลาโหมและนักธุรกิจไทยกลับตีข่าวเอิกเกริกให้เป็นที่กล่าวขานด้วยความลิงโลดภาคภูมิใจว่า
บัดนี้อุตสาหกรรมอาวุธของไทยสามารถผลิตกระสุนส่งออกไปยังมาเลเซียได้แล้ว ทั้งที่ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่า ในวันข้างหน้ากระสุนเหล่านั้นอาจจะมีโอกาสถูกส่งต่อให้ย้อนกลับมาทำร้ายคนไทยหรือไม่
จริงอยู่ที่อุตสาหกรรมทหารไม่ว่าจะเป็นอาวุธกระสุน ยานเกราะ เครื่องบิน หรือแม้แต่เรือรบ ซึ่งคนไทยมีขีดความสามารถในการผลิตและสร้าง เพื่อส่งออกไปยังลูกค้าต่างประเทศ โดยมีพระราชบัญญัติด้านเครื่องกระสุนและยุทโธปกรณ์รองรับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ผิด และเอกชนไทยก็เคยกระทำมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการส่งรถหุ้มเกราะให้กับ UNหรือการส่งมอบเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งให้กับปากีสถาน
แต่บริบทเหล่านั้นมันแตกต่างกับสิ่งที่บริษัทเอกชนรายล่าสุดเปิดตัวความสำเร็จในการนำรายได้เข้าประเทศอย่างครึกโครม แบบไม่คำนึงถึงคำว่า ถูกที่ถูกเวลา
กองทัพไทยกำลังฮึ่มๆ เตรียมรับมือกับศึกเขมรภาค 2 แทนที่บริษัทดังกล่าวจะส่งมอบกระสุนแบบให้เปล่าแก่กองทัพไทย เพื่อแสดงน้ำใจ แต่ความรักชาติ รวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกับภาคเอกชน รายอื่นๆ ที่ท่านกลับเลือกที่จะส่งมอบกระสุนให้กับประเทศที่แสดงท่าทีเอาใจช่วยกัมพูชาซึ่งเป็นคู่กรณีกับประเทศไทย
จริงอยู่ที่สัญญาซื้อขายอาจจะลงนามกันไปแล้ว และต้องส่งมอบตามกำหนด แต่มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องทำข่าวให้เอิกเกริกโด่งดัง จนถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมเยี่ยงนี้
ภาพการปล่อยรถขนส่งกระสุนไปยังมาเลเซียในวันอังคาร ที่ 23 กันยายน จึงเป็นภาพที่เสียดแทงความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากและเป็นภาพตรงข้ามกับบริษัทอุตสาหกรรมทหารอย่าง “มาดามรถถัง” เจ้าของบริษัทผลิตยานเกราะที่เปิดตัวชัดเจนว่า พร้อมจะสนับสนุนกองทัพไทยในการทำศึกกับผู้รุกรานอย่างเต็มที่
จึงช่วยไม่ได้เลยที่ ณ บัดนี้ในนาทีเดียวกับที่รถขนส่งนำกระสุนไปส่งมอบให้มาเลเซีย รถทัวร์จากคนไทยที่ไม่ไว้ใจแขกมาเลย์จะมุ่งหน้าเข้าสู่กระทรวงกลาโหมโดยพร้อมเพรียงกัน
และนี่อาจจะเป็นการรับขวัญรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่อย่างบิ๊กเล็ก พลเอกณัฐพล นาควาณิชย์ ชนิดที่เจ้าตัวไมได้ร้องขอ