ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “พระคึกฤทธิ์ โสตถิผโล” แห่ง “วัดนาป่าพง ต.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี” ที่โด่งดังมาจากการเป็นนักเผยแพร่ “พุทธวจน” กลับมาอยู่ในกระแสสังคมอีกครั้งหลังจากมีเปิดเผยข้อมูลเบื้องลึกความไม่ชอบมาพากลเรื่องเงินบริจาคที่ส่งจากวัดนาป่าพงในประเทศไทยไปยังวัดสาขา/สมาคมและมูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นที่ประเทศเยอรมนี โดยปรากฎชื่อ “นางกัญญาภัค ชไนเดอร์” ซึ่งได้รับมอบหมายลักษณะว่าจ้างจากพระคึกฤทธิ์ ให้ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้จัดการดูแลทุกสิ่งอย่างที่เยอรมนี ทว่า ถูกตำรวจเยอรมนีแจ้งข้อหาฟอกเงินอย่างไม่ได้คาดคิด เนื่องจากทางเยอรมนีตรวจสอบพบความผิดปกติของเส้นทางการเงิน
ปมประเด็นปัญหาก็คือ เงินจำนวนมากที่โอนมาให้นางกัญญาภัคดำเนินการไม่ได้ออกมาจากบัญชีของวัดนาป่าพงโดยตรง แต่ถูกโอนในชื่อ “นายศรชา” ซึ่งเป็นลูกจ้างของวัดนาป่าพง มาเข้าบัญชีของเธอ 3 ครั้ง ครั้งแรก 2.7 ล้านบาท ครั้งที่สอง 2 ล้านบาท และครั้งที่สาม 1.5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีลูกจ้างของวัดชื่อ “นายสมภพ” โอนเงิน 6 ล้านบาท มาที่บัญชีของ นางกัญญาภัค รวมเป็นเงิน 12.2 ล้านบาท
ไม่เท่านั้น ยังมีเงินจากบัญชีของ “น.ส.ขนิษฐา สวัสดิผล” พี่สาวของพระคึกฤทธิ์ โอนมาให้นางกัญญาภัคกว่า 4 ล้านบาทด้วย โดยคนโอนก็คือพระคึกฤทธิ์ ซึ่งใช้แอปฯ ธนาคารของน้องสาวตัวเอง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ นางกัญญาภัคตัดสินใจแจ้งความต่อตำรวจเยอรมนีให้ดำเนินคดีพระคึกฤทธิ์ที่เป็นต้นเรื่องทั้งหมด ขณะที่ฝ่ายพระคึกฤทธิ์ก็ฟ้องกลับนางกัญญาภัคเช่นกัน
จากนั้น “น.ส.ทองใหม่ ขวัญหมื่น” ทนายความของนางกัญญาภัคได้เข้าแจ้งความที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของวัดดังกล่าว รวมทั้งนำเอกสารหลักฐานเส้นทางการเงิน สลิปการโอนเงินฉบับจริง มามอบให้พนักงานสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมยืนยันว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องชู้สาว” แต่ประการใด
ขณะที่ “นายอนันต์ชัย ไชยเดช” ที่ได้รับการประสานให้เปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานรูปแบบการโอนเงินจะส่งต่อเป็นทอดๆ จากประเทศไทยไปยังประเทศเยอรมนี โดยผ่านบัญชีผู้เสียหายและมูลนิธิฯ ก่อนจะไปสิ้นสุดที่บัญชีเจ้าอาวาสวัดซึ่งเปิดไว้ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งจากพฤติกรรมรวมถึงหลักฐานต่าง ๆ ส่วนตัวมองว่า หากตำรวจสืบสวนสอบสวนพบว่า เจ้าอาวาสวัดกระทำผิดจริง ความผิดที่เกิดขึ้นก็จะเข้าข่ายเป็นความผิดในข้อหาตาม ม.147 เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ และ ม.157 เจ้าพนักงานที่กระทำหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งความผิดทั้ง 2 ข้อหานี้ยังเป็นความผิดมูลฐานในข้อหาฟอกเงินด้วย
ในประเด็นนี้ “ทีมทนาย” ของ “พระคึกฤทธิ์”ได้ตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงว่าพระอาจารย์ไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นต้นทางฝากเงิน และเป็นผู้ถือใบสลิปเอง การที่หลักฐานไปปรากฏในมือผู้อื่นที่นำไปโพสต์ในสาธารณะนั้น เริ่มต้นจากการที่มีการส่งหลักฐานที่ศาลในประเทศเยอรมนี เพื่อดำเนินคดีต่อบุคคลหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่ามีการยักยอกเงิน ไม่ใช่เอกสารที่ต้องการปิดบังใดๆ เป็นเอกสารที่ถูกต้อง วัดเห็นว่าข้อมูลในเอกสารสามารถเปิดเผยได้ทั้งฉบับ ผู้โอนเงินคือไวยาวัจกรของวัดเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องปิด
ทั้งนี้ การเริ่มต้นโอนเงินไปประเทศเยอรมนีในปี 2561 พระอาจารย์มีดำริเผยแผ่คำสอนในต่างประเทศ โดยวิธีการหนึ่งคือต้องการจัดตั้งวัดในต่างประเทศ โดยมีสาธารณชนที่ให้ความเคารพพระอาจารย์จำนวนมากในประเทศเยอรมนี จึงพยายามก่อสร้างตั้งวัด แต่พบว่ามีความสลับซับซ้อนยุ่งยาก และต้องดำเนินการในแบบมูลนิธิ ต้องมีคณะกรรมการจัดตั้ง มีเงินทุนจัดตั้ง การดำเนินการต้องใช้ภาษาเยอรมัน ต้องอาศัยคนที่มีความรู้ในภาษาเยอรมัน รวบรวมศาสนิกชน ระดมกันก่อตั้งมูลนิธิ จึงได้แต่งตั้งผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในเยอรมนีให้เป็นรองประธาน และดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถจัดตั้งได้โดยง่าย จึงต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้มีอำนาจดำเนินธุรกรรมทางการเงินแทนพระอาจารย์ และมีอำนาจดำเนินการทางกฎหมาย โดยสีกาคนนั้นเปิดบัญชีในประเทศไทย พระอาจารย์ติดต่อญาติโยมให้บริจาคกำหนด เพื่อนำไปก่อตั้งมูลนิธิพุทธวจนในเยอรมนี โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือบริจาคเงินชัดเจน
ขณะที่ “บิ๊กเต่า - พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว” รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยความคืบหน้าว่า กรณีทนายความของผู้เสียหายในเยอรมนีเข้าร้องทุกข์ดำเนินคดีไว้ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ขณะนี้ ส่งสำนวนไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว อยู่ระหว่างประสานว่าจะส่งสำนวนกลับมาที่ บก.ปปป.หรือไม่
ส่วนกรณีบัญชีเงินวัดที่มีการเปิดรับบริจาคแล้วนำไปใช้ในมูลนิธิฯ และเครือข่ายของวัดนั้น พบว่าในช่วง 4 - 5 ปีมียอดเงินบริจาคประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะต้องดูว่าเงินบริจาคถูกนำไปใช้ตรงวัตถุประสงค์ หรือนำไปใช้ประโยชน์กับกิจการที่เกี่ยวข้องของวัดหรือไม่
ที่น่าสนใจคือ “บิ๊กเต่า” ยังระบุการตรวจสอบเบื้องต้นพบมีผู้เกี่ยวข้องที่อาจเข้าข่ายกระทำความผิด 8 - 9 คน ทั้งฆราวาสและพระสงฆ์
ประเด็นร้อนเรื่องถัดมาเกี่ยวโยงกับสีกาคนสนิทของ “พระคึกฤทธิ์” ที่นอกจากจะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมีนัยตั้งแต่ช่วงดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิที่ประเทศเยอรมนีแล้ว ยังมีการขุดคลิปออกมากล่าวหาความสัมพันธ์ เดินทางไปทุกที่เคียงคู่ไม่ห่างกาย ปรากฎภาพชอปปิ้งเครื่องประดับในต่างประเทศท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นฟิลแฟน ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี “คลิปเสียงลับ” บทการสนทนา “เรื่องอย่างว่า” ออกมาด้วย
กระนั้นก็ดี “ทีมทนายของพระคึกฤทธิ์” ชี้แจ้งชัดเจนว่าเป็นโยมอุปัฏฐาก ซึ่งมีการเปิดเผยตัวตนมาเป็นเวลานาน ถือเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดทำคำสอน คำเทศนาของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทางเพจเฟซบุ๊กชื่อ “พุทธวจนเรียล” และช่องยูทูบชื่อเดียวกัน ทั้งนี้ ข้อมูลและภาพที่นำมาเชื่อมโยงนั้นเป็นวิดีโอและภาพตัดต่อที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เป็นพิเศษเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องร้อนๆ ที่พระคึกฤทธิ์ต้องเผชิญ โดยย้อนกลับประมาณ 10 ปีก่อน หรือช่วงปี 2558 เคยเป็นข่าวครึกโครมมาแล้ว กรณี“ไก่ - มีสุข คุณดิลกชัยพัฒน์”อดีตพิธีกร ที่เข้าไปเป็นโยมอุปถัมภ์ “พระคึกฤทธิ์” และหมดเงินไปจำนวน ทว่า สุดท้ายสิ้นศรัทธาบอกลาจากวัดนาป่าพง โดยสาเหตุมาจากกรณีการบิดเบือดคำสอน และยังเกิดกรณีฉาว“สีกาอ้อย”พยาบาลสาวหน้าตาดีกับเรื่องที่ถูกกล่าวในลักษณะคุกคามทางเพศ
ต่อมาในปี 2562 เกิดกรณีกลุ่มอดีตศิษย์ของพระคึกฤทธิ์ได้รวมตัวกันฟ้องพระคึกฤทธิ์ โดยกล่าวหาว่ายักยอกเงินจํานวนสูงถึง 515 ล้านบาท ซึ่งอ้างนำไปซื้อที่ดินและพิมพ์หนังสือ แต่พบการโอนเข้าเข้าบัญชีพระคนสนิท นำไปสู่การยื่นฟ้องต่อศาลอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีกรณีดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ หรือ ครูนัทอดีตศิษย์ผู้สิ้นศรัทธา ที่ออกมาโต้แย้งพระคึกฤทธิ์เรื่องการสอนธรรมะ และถูกฟ้องคดีเกือบ 20 คดี
ขณะที่แนวทางการเผยแพร่ธรรมะของพระคึกฤทธิ์คือ “พุทธวจน” นั้น แม้จะได้รับความนิยมในวงกว้าง แต่ก็ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างหนักในวงการสงฆ์และสังคมทั่วไป โดยฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่า พระคึกฤทธิ์ทำให้ผู้คนกลับมาสนใจแก่นแท้ของพุทธศาสนา และลดความงมงายลง แต่ขณะเดียวกันเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้งว่าการเน้นแต่คำสอนเฉพาะส่วนที่เป็นพุทธพจน์, รวบรวมพระไตรปิฎกเหลือเพียงปิฎกเดียว รับพระวินัยเพียง 150 ข้อ ส่วนที่เกินพระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติไว้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ กระทั่งต่อมา “พระพรหมวชิรญาณโสภณ” เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ได้ลงนามในแถลงการณ์รายงานการประชุม เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2553 ให้ตัด “วัดนาป่าพง” ต.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ออกจากสาขา “วัดหนองป่าพง” และถือว่าการกระทำใด ๆ ของพระคึกฤทธิ์ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ทางคณะสงฆ์วัดหนองป่าพงจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
ส่วนประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นล่าสุดยังคงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด ภายใต้การตรวจสอบของ “บิ๊กเต่า - พล.ต.ต.จรูญเกียรติ” ตำรวจมือฉมังผู้ปราบปรามพระนอกรีตว่าจะลงเอยอย่างไร