ตราด- ผบ.นย.ตราด แจงละเอียดพื้นที่ 17 จุดกัมพูชาลุกล้ำเป็น "พื้นที่อ้างสิทธิ์" ไม่ใช่เขตอธิปไตยไทย แต่เขมรละเมิดเอ็มโอยู43 เข้าก่อสร้าง-เปลี่ยนสภาพพื้นที่ ขณะการลาดตระเวนทำได้ยากเพราะเป็นพื้นที่ป่าและมีระเบิดจนต้องใช้โดรนบินตรวจ พรุ่งนี้หารือผู้บริหารระดับสูงกัมพูชา
จากกรณีที่มีการตั้งกระทู้ถามในสภาฯ ของ นายศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด ถึงปัญหาที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำแนวชายแดนไทยด้าน จ.ตราด รวม 17 จุด จนสร้างความกังวลใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 14.30 น. วันนี้ ( 18 ก.ย.) กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) โดยหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ได้เชิญสื่อมวลชนเข้ารับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยมี นาวาเอก ภริศวร์ วงษ์ศรีเพ็ญ ผบ.ฉก.นย.ตราด เป็นผู้ชี้แจงด้วยตนเอง
พร้อมเผยว่าพื้นที่ลุกล้ำทั้ง 17 จุด ไม่ได้อยู่ในบริเวณที่เป็นอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน แต่เป็น "พื้นที่อ้างสิทธิ์" ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนกันตามแนวสันปันน้ำ ซึ่งอยู่ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ปี 2543
โดยสาระสำคัญของ MOU43 คือให้สิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่เดิมคงอยู่ต่อไปได้ แต่ห้ามมิให้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศ
"ดังนั้นหน้าที่ของฝ่ายไทย คือการเฝ้าระวัง ตรวจการณ์ และหากพบการละเมิด จะต้องทำหนังสือประท้วงและประสานงานเพื่อยับยั้ง ซึ่งที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชา ก็ให้ความร่วมมือด้วยดี แต่ความยากลำบากในการปักปันเขตแดนบริเวณนี้คือระยะทางกว่า 105 กิโลเมตร จากหลักเขตที่ 70 (อ.บ่อไร่) ถึงหลักเขตที่ 71 (เขาวง) และไม่มีหลักเขตแดนย่อยจึงทำให้ต้องยึดแนวสันปันน้ำเป็นหลัก"
อีกทั้ง การตีความเส้นบนแผนที่กับการปฏิบัติในภูมิประเทศจริงด้วย GPS อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ 10-20 เมตร การตัดสินชี้ขาดจึงต้องรอคณะกรรมการปักปันเขตแดน (JBC) เท่านั้น
ขณะที่รายละเอียด 17 จุด ส่วนใหญ่เป็นถนน-สิ่งปลูกสร้างเก่าที่มี 10 กว่าจุด เป็นถนนและเส้นทางลำเลียง และเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ได้พลักดันและไม่มีการทำประโยชน์
โดยจุดที่สังคมให้ความสนใจเป็นฐานปฏิบัติการทหารกัมพูชา บ้านชำราก ต.ชำราก ที่มีการสร้างอาคาร 3-4 หลังล้ำเข้ามาในแนวที่ไทยอ้างสิทธิ์ประมาณ 160 เมตร และได้ทำการประท้วงไปแล้ว
ส่วนฐาน ร้อย.ร.501 ของกัมพูชา (จุดที่ 15) ตั้งอยู่บนเส้นปฏิบัติการ และมีการปรับปรุงแนวดินล้ำมาประมาณ 30 เมตร สวนยางพารา บ้านชำราก(จุดที่ 16) มีการปลูกยางพาราอายุกว่า 15 ปี บนพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ ล้ำเข้ามาประมาณ 180 เมตร
ทั้งนี้ ปัจจุบันทหารไทยได้ผลักดันไม่ให้มีการเข้ามาทำประโยชน์หรือกรีดยางแล้ว คงเหลือไว้เพียงสภาพป่า บ้านหนองรี ต.ชำราก (จุดที่ 11) เป็นบ้าน 3 หลังที่สร้างมาตั้งแต่สมัยสู้รบกับเขมรแดง และยังคงอยู่หลังสถานการณ์สงบ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาให้รื้อถอน จะเข้าเจรจาในวันพรุ่งนี้
นาวาเอก ภริศวร์ ยังย้ำอีกว่าการลาดตระเวนในพื้นที่ค่อนข้างทำได้ยากลำบาก เพราะเป็นพื้นที่ป่าเขาและมีทุ่นระเบิด ปัจจุบันจึงได้นำ อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) มาใช้ในการบินตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและเข้าไประงับยับยั้งได้ทันท่วงที
ส่วนประเด็นอาคารกาสิโน และถนนบริเวณจุดผ่อนปรนการค้าบ้านทมอดา (จุดที่ 12) ที่มีข้อสงสัยว่าเป็นการเอื้อประโยชน์นั้น ขอชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างถนนเกิดขึ้นจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในอดีต ที่ต้องการยกระดับเป็น "จุดผ่านแดนถาวร" เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
แต่ฝ่ายความมั่นคง ทั้งทหารและสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ทักท้วง เนื่องจากแนวเขตแดนยังไม่ชัดเจน โครงการจึงถูกระงับไป เหลือเพียงถนนและเสาไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้ว
และจากการตรวจสอบพบว่า มีเพียงส่วนปลายของอาคารกาสิโนฝั่งกัมพูชาเท่านั้นที่ล้ำเข้ามาในแนวเส้นที่ไทยอ้างสิทธิ์ แต่ไม่ได้ล้ำมาทั้งอาคาร และปัญหานี้จะยังคงอยู่จนกว่าการปักปันเขตแดนจะแล้วเสร็จ และฝ่ายความมั่นคงยังคงยืนยันไม่เห็นชอบให้เปิดเป็นด่านถาวรในขณะนี้
" พวกเรา คือทหารของพระราชา มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์จากภาษีราษฎร ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล เราจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ไม่ได้ปล่อยปละละเลย และไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝง และในวันพรุ่งนี้จะมีการนัดพยกับผู้แทนระดับสูงของฝ่ายกัมพูชา เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหา และจะพาสื่อมวลชนลงพื้นที่บ้านชำราก เพื่อดูสภาพพื้นที่จริงด้วย " นาวาเอกภริศวร์ กล่าว