พรรคภูมิใจไทยพร้อมเดินหน้า โครงการคนละครึ่ง ประเดิมใช้งบกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจทันที ขณะที่ นโยบายตั๋วรถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน กำลังจับตาว่าจะได้ลงมือปฏิบัติจริงหรือไม่ หลังพรรคขึ้นเป็นแกนนำรัฐบาลและมีนายอนุทิน นั่งนายกรัฐมนตรี
'พูดแล้วทำ' ถือเป็นปรัชญาที่สำคัญของพรรคภูมิใจไทย แม้ว่าจะยังจัดโผคณะรัฐมนตรีไม่สะเด็ดน้ำเท่าใดนัก แต่ในแง่ของนโยบายนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็ได้เริ่มเดินหน้าไปบางส่วน โดยเฉพาะการพิจารณาถึงการฟื้นโครงการคนละครึ่งอีกครั้ง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในเรื่องนี้ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า กระทรวงการคลังมีความพร้อมทั้งในด้านระบบ งบประมาณ และความเหมาะสมต่อสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน สามารถดำเนินการได้ทันทีหากมีนโยบายชัดเจน ทั้งนี้ มีระบบที่พัฒนามาแล้วในรอบก่อนยังสามารถใช้งานได้ทันที ไม่ต้องสร้างใหม่ ประหยัดเวลาและทรัพยากร พร้อมรองรับการดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 ซึ่งตรงกับช่วงต้นปีงบประมาณ 2569 เวลานี้มีงบประมาณ มีเงินสำรองกว่า 25,000 ล้านบาท ที่สามารถนำมาใช้ตามวัตถุประสงค์ และหากต้องการขยายวงเงินก็สามารถโยกจากงบกลางเพิ่มเติมได้
“อย่ามองเพียงว่าคนละครึ่งจะดันจีดีพีได้มากน้อยแค่ไหน เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลใส่เงินเข้าไปเท่าไหร่ และกำหนดให้ใช้สิทธิ์ได้วันละเท่าไหร่ แต่ยืนยันว่ากระทรวงการคลังพร้อมเดินหน้าเต็มที่ทันทีที่ได้รับสัญญาณจากรัฐบาล” นายลวรณ กล่าว
ขณะเดียวกัน เมื่อย้อนกลับไปในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2566 พรรคภูมิใจไทยได้ประกาศนโยบายเอาใจคนกรุงเทพมหานครด้วยการประกาศว่า จะเร่งผลักดันรถไฟฟ้า40 บาทตลอดทั้งวัน โดยนโยบายที่ว่านี้เป็นการประกาศออกมาจากนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกทม.พรรคภูมิใจไทยในเวลานั้น ที่ระบุว่า รถไฟฟ้าเป็นทางออกของคนกรุงเทพฯที่ทุกคนขึ้นได้และค่าโดยสารต้องไม่เป็นอุปสรรคหรือเป็นปัญหาต่อคนทุกกลุ่ม ค่าโดยสารต้องสมเหตุสมผล พรรคภูมิใจไทยจึงมีนโยบายออกตั๋วรถไฟฟ้าเป็นตั๋ววัน วันละ 40 บาทไปกี่เที่ยวก็ได้ และขั้นต่ำถ้าเดินทางสั้น ๆ แค่สถานีเดียว 15 บ.ทำให้ค่าใช้จ่ายเมื่อเดินทางเป็นวันละ 40 บ.จำนวน 5 วันก็อยู่ที่ 200 บาทต่อสัปดาห์
นายพุทธิพงษ์ อธิบายในขณะนั้นว่า จะช่วยทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานต่อเดือนต่อคนจะตกอยู่ที่ไม่เกิน 800 - 1,000 บ.สามารถให้มีการบริหารค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อคน ต่อครอบครัวได้ชัดเจน ราคาย่อมเยาสมเหตุสมผล จับต้องได้ ทุกคนสามารถขึ้นได้ ทุกคนมีโอกาสได้ใช้รถไฟฟ้า และเมื่อคนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นจะทำให้คนใช้รถยนต์น้อยลงจึงเสนอให้มีการใช้ขนส่งสาธารณะ หรือรถไฟฟ้ากันให้มากที่สุด จะช่วยลด PM 2.5 ได้มาก
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วหลังจากการประกาศนโยบายดังกล่าว ยังไม่ได้มีการดำเนินการ เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยเป็นเพียงพรรคร่วมรัฐบาล และไม่ได้เข้าไปกำกับดูแลกระทรวงคมนาคม แต่มาถึงตอนนี้พรรคภูมิใจไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและมีนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องติดตามกันดูว่านโยบายดังกล่าวได้พูดออกไปแล้วนั้นจะได้ถูกนำไปปฎิบัติหรือไม่