เกิดเสียงวิจารณ์ขร่มกรณีเด็กเขมรอดีตนักศึกษาทุนในไทย ลาออกกลับบ้านเกิดไปเป็นทหารเขมรถือปืนสู้รบทหารไทยในสมรภูมิปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ พร้อมแสดงพฤติกรรมเย้ยหยันคนไทยผ่านโซเซียลฯ การให้ทุนเด็กเขมรแต่กลับมาแว้งกัดไม่เพียงปลุกกระแสชาตินิยมถูกมองเนรคุณคนไทย ยังเป็นภาพสะท้อนถึงปัญหาใหญ่การเข้าถึงระบบการศึกษาของเด็กไทย
สำหรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นรศ. ดร.ฉลอง สุขทองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เปิดเผยกรณี“นายรอน ชิด”ิ อดีตนักศึกษา (ชั้นปีที่ 2) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสาขาวิชาการไฟฟ้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ได้รับทุนจากบริษัทของไทยที่เข้าไปทำธุรกิจเครื่องจักรทางการเกษตรในประเทศกัมพูชาได้ให้ทุนเรียนดี เข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และได้แจ้งลาออกไปเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ก่อนกลับไปอยู่บ้านเกิดประเทศกัมพูชา
โดยระบุเหตุผลว่า “พ่อที่เป็นทหารบอกว่าให้เขาไปสมัครเป็นทหารเพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า จึงสมัครเข้าเป็นทหารของกัมพูชาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วมาแจ้งลาออกจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์” ซึ่งเป็นสิทธิ์ของเขา
พร้อมกันนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ได้ออกแถลงการณ์ฯ สาระสำคัญความว่า การรับนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะนักศึกษาสัญชาติกัมพูชาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยฯ เป็นการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ภารกิจและหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ตามที่หมายกำหนด เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาและเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิชาระหว่างประเทศ ซึ่งมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและโปร่งใส
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ มีนักศึกษาชาวกัมพูชาอยู่จำนวน 36 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับทุนการศึกษาจากฝั่งประเทศไทย โดยถูกส่งตัวกลับประเทศกัมพูชาไปแล้วตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ด้วยเหตุผลเรื่องของความมั่นคงภายในประเทศ โดยมีการดรอปเรียนไว้ก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งแสดงความประสงค์กลับไปเรียนต่อที่ประเทศกัมพูชาบ้านเขา และส่วนหนึ่งต้องการกลับมาเรียนในประเทศไทยซึ่งต้องรอปรึกษากับฝ่ายความมั่นคงต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Fresh News ของกัมพูชารายงานว่า ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ประกาศว่าสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักศึกษากัมพูชาที่กำลังศึกษาอยู่ในไทยเป็นการส่วนตัว หากถูกไล่ออก ยุติการให้ทุน หรือถูกเลือกปฏิบัติ
ทั้งนี้ เข้าใจว่าเป็นสิทธิในการตัดสินใจที่จะกลับไปเป็นทหารแนวหน้าเขมร แต่ประเด็นที่สร้างความขุ่นเคืองใจให้คนไทยเป็นเรื่องการแสดงพฤติกรรมเย้ยหยันชาวไทยในโซเซียลฯ นายรอน ชิด ไม่สำนึกบุญคุณเรื่องทุนการศึกษาที่ชาวไทยมอบโอกาสให้แม้แต่น้อย
และต้องยอมรับว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยปลุกกระแสชาตินิยมทำให้สังคมไทยพุ่งเป้าโจมตีการให้ทุนเด็กเขมรอย่างหนัก ซึ่งประเด็นหลักที่ไม่อาจมองข้ามคือภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้ำของระบบการศึกษาในประเทศไทย อันเป็นโจทย์ใหญ่ของภาครัฐต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
โดยประเด็นที่เกิดขึ้นทวีความร้อนแรงถึงขั้นมีกระแสเรียกร้องให้ยกเลิกการให้ทุนการศึกษาชาวเขมร ซึ่งการมอบทุนการศึกษาให้ชาวเขมรเข้าเรียนในเมืองไทย มีตั้งแต่ระดับปริญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก โดยอยู่ภายใต้การสนับสนุนของทั้งภาครัฐและเอกชนไทย
รวมทั้งเกิดคำถามในสังคมไทยถึงการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายด้านการศึกษาภายในประเทศ ซึ่งควรยกระดับคุณภาพและความเท่าเทียมของเด็กไทยก่อนเป็นสำคัญ และตระหนักถึงการให้ทุนการศึกษาเด็กต่างชาติโดยไม่กระทบสิทธิและโอกาสของเด็กไทย
อ้างอิงรายงานพิเศษความจริงและความเร่งด่วน ของสถานการณ์เด็กนอกระบบในประเทศไทย โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่าเด็กและเยาวชนจำนวนกว่า 1.02 ล้านคนอยู่นอกระบบการศึกษา
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่าเด็กที่อยู่ในระบบการศึกษาและมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนมีประมาณ 1.9 ล้านคนที่ได้รับเงินอุดหนุน และหลายหน่วยงานพยายามตรึงวงเด็กไม่ให้หลุดออกจากระบบด้วยวิธีต่างๆ พร้อมทั้งหาทุนเพื่อส่งเด็กเติบโตไปสู่การศึกษาสูงสุดตามศักยภาพ
วงเสวนาเรื่องเปิดโจทย์การศึกษา 2568 : ถึงเวลายกระดับโครงสร้างใหม่โดย กสศ. ฉายภาพให้เห็นสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา โดยตั้งเป้ายกระดับโครงสร้างระบบการศึกษาไทยให้มีความเท่าเทียมมากขึ้น
ดร.ไกรยส ภัทราวาทผู้จัดการ กสศ. เปิดเผยว่าสถานการณ์ปัจจุบันเด็กนอกระบบการศึกษาซึ่งมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ซึ่งการออกนอกระบบการศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องการศึกษาแต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เรื่องครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคม โดยพบว่าปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงและขาดแรงจูงใจทำให้เด็กส่วนใหญ่ไม่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยเฉพาะเด็กในครัวเรือนที่มีใครเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย เหล่านี้เป็นความท้าทายที่จะพาพวกเขาเข้าสู่เส้นทางการศึกษาและเติบโตไปทำงานเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
อย่างไรก็ดี หนึ่งในโอกาสการเข้าถึงระบบการศึกษาของเด็กไทยคือกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)ซึ่งเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา มีเด็กนักเรียนนักศึกษากู้ยืมเรียนแล้วมากกว่า 7.1 ล้านคน แบ่งเป็นอยู่ระหว่างการชำระหนี้ 3.58 ล้านคน อยู่ในช่วงปลอดชำระหนี้ 1.53 ล้านคน ชำระหนี้เสร็จสิ้น 1.96 ล้านคน และเสียชีวิต - ทุพพลภาพ 74,490 คน
นอกจากนี้ ในแต่ละปีจะมีนักเรียนนักศึกษามายื่นกู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันอยู่ที่ 600,000 คน กู้ผ่านสถาบันการศึกษา 4,400 แห่ง วงเงินราว 37,000 ล้านบาท กล่าวคือ กยศ. ต้องมีเม็ดเงินหมุนเวียนในเพื่อปล่อยกู้ไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี
กระนั้น กยศ. เผชิญปัญหาเรื่องการชำระหนี้ของผู้กู้กว่า 70% ไม่มีวินัยในการชำระหนี้ กรณีเรียนจบหากยังไม่มีงานทำก็ไม่ต้องชำระหนี้เป็นเวลา 2 ปี แต่หลังจากนั้นมีงานทำแต่ยังไม่ชำระหนี้ ซึ่งการชำระหนี้คืนอยู่ในอัตราต่ำ ตั้งแต่ 1,000 - 5,000 บาทต่อเดือน โดยแต่ละรายไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับวงเงินกู้
ปัจจุบัน กองทุน กยศ. กำลังเผชิญสถานการณ์ขาดสภาพคล่องและต้องของบประมาณจากภาครัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากการแก้กฎหมายกองทุนใหม่ ชะลอการฟ้อง หรือดำเนินคดี ลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระ รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อขยายระยะเวลาในการชำระหนี้แทน ส่งผลให้ยอดการจ่ายหนี้มีแนวโน้มลดลง ส่งผลต่อสถานะกองทุน
ล่าสุด กยศ. ขอใช้งบประมาณจากภาครัฐมาสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยเป็นค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพระหว่างการศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบฯ กลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นภายในกรอบวงเงิน 2,838 ล้านบาท
นอกจากนี้ ครม. ได้อนุมัติงบประมาณ 8,488 ล้านบาท ภายใต้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้กับ กยศ. เพื่อรองรับการจัดสรรเงินกู้ยืม ครั้งที่ 2 ของปีการศึกษา 2568 สำหรับเป็นค่าเล่าเรียน ค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาให้แก่นักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืมรายเก่าและรายใหม่ ที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามที่ กยศ.กำหนด
อย่างไรก็ตาม ข่าวลือ กองทุน กยศ. ถังแตก ไม่เกินจริง หากรายได้จากการชำระหนี้ลดลง และยังพึงเงินอุดหนุนของรัฐต่อไปเรื่อยๆ เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะ กยศ. นับเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการส่งมอบโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย