บีวายดี (BYD) ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) รายใหญ่ที่สุดของโลก และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เผชิญแรงกดดันรุนแรงจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดจีน ส่งผลให้ยอดผลิตและกำไรชะลอตัวอย่างชัดเจน
รายงานการผลิตเดือนสิงหาคม 2025 ระบุว่า บีวายดีผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดรวม 353,090 คัน ลดลง -3.78% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยังลดลง -0.9% จากเดือนกรกฎาคม ทำให้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่กำลังการผลิตลดลงต่อเนื่อง 2 เดือน นับตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2020
ด้านสถาบันการเงิน ไชน่า เมอร์แชนท์ แบงก์ อินเตอร์เนชั่นแนล (CMBI) ปรับลดคาดการณ์ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ของบีวายดีปี 2025 ลง 5% เหลือ 4.9 ล้านคัน จากเดิมที่บริษัทตั้งเป้าไว้ 5.5 ล้านคัน ส่งผลให้ความคาดหวังในการครองตำแหน่งผู้นำตลาดโลกเผชิญแรงท้าทายมากขึ้น
นอกจากนี้ บีวายดีได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2025 พบว่ากำไรสุทธิอยู่ที่ 6,400 ล้านหยวน (ราว 28,608 ล้านบาท) ลดลงเกือบ 30% จากปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปีครึ่ง ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 200,900 ล้านหยวน (ราว 914,095 ล้านบาท) เติบโตเพียง 14% ชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ที่เติบโตถึง 36.35% อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 16.27% จาก 20.07% ในไตรมาสก่อน
สาเหตุหลัก มาจากกลยุทธ์การทำตลาดด้วยการลดราคาหนักหน่วงเพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บีวายดีลดราคาสูงสุดถึง 34% ขณะที่ก่อนหน้านั้นในเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทประกาศขายรถอีวีรุ่นติดตั้งระบบช่วยขับอัตโนมัติ “God Eye” ในราคากว่า 100,000 หยวน แต่สุดท้ายกลับขายต่ำกว่าระดับที่ประกาศไว้
แม้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2025 บีวายดีจะยังทำยอดขายทั่วโลกได้ 3.03 ล้านคัน (ในจำนวนนี้เป็นการส่งออก 545,003 คัน หรือเกือบ 18%) แต่หากเทียบกับเป้าหมายทั้งปีที่ 5.5 ล้านคัน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนแรงกดดันที่บริษัทต้องเร่งแก้ไข
ในตลาดจีนเพียงอย่างเดียว บีวายดีครองแชมป์อันดับ 1 ด้วยยอดขาย 1.88 ล้านคัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 29.2% ทิ้งห่างจีลี่ที่มี 12.5% และเทสลาที่ 4.7% ทว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดของเทสลากลับลดลงเหลือเพียง 4.1%
สถานการณ์ล่าสุดตอกย้ำว่าบีวายดีกำลังเผชิญแรงกดดันรุนแรงทั้งจากการแข่งขันด้านราคาที่เดือดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการขยายตลาดต่างประเทศที่ยังต้องเร่งสปีดเพื่อชดเชยยอดขายในประเทศที่ชะลอตัวลง