หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยมติ 6 ต่อ 3 กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยมีผลนับแต่วันที่ศาลสั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ 1 กรกฎาคม 2568 และคณะรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะด้วยนั้น ขณะที่การเลือกนายกฯใหม่ของพรรคเพื่อไทย ถูกพรรคภูมิใจไทยเปิดเกมตั้งรัฐบาลแข่ง โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคเปิดเกมชิงเก้าอี้นายกฯคนที่ 32
ซึ่งที่สุด “เพื่อไทย”อาจเลือกยุบสภา และเข้าสู่ห้วงเวลารัฐบาลรักษาการ ที่ครม.เพื่อไทย ก็มั่นใจว่า จะยังคงมีอำนาจเต็ม สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ แต่หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลจากฝั่ง”เพื่อไทย”ไปเป็น”ภูมิใจไทย” ย่อมส่งผลกระทบต่อหลายนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่พยายามผลักดันมาตลอด โดยเฉพาะ นโยบายเรือธง”ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกสี” ที่ได้ดำเนินการในระยะแรกมาแล้วช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กับรถไฟฟ้าที่หน่วยงานรัฐดำเนินการเอง คือ สายสีแดง และสายสีม่วง ส่วนโครงการระยะที่ 2 ที่จะขยายครอบคลุมรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 10 สาย คือ รถไฟฟ้าสายสีเขียว, สีทอง, สีเหลือง, สีชมพู, สีน้ำเงิน, สีม่วง, สีแดง และแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) รวมระยะทาง 276.84 กิโลเมตร (กม.) ทั้งสิ้น 194 สถานี
โดยเปิดให้ประชาชนคนไทยลงทะเบียนใช้สิทธิผ่านแอปทางรัฐ มาตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2568 ล่าสุด มียอดลงทะเบียนมากกว่า 2.5 แสนรายแล้ว มีเป้าหมายจะให้เริ่มใช้ในวันที่ 15 พ.ย. 2568 เลื่อนจากกำหนดเดิมวันที่ 1 ต.ค. 2568
สาเหตุ เนื่องจากร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ คือ 1. ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ… 2.ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ… และ 3.การแก้ไขร่าง พ.ร.บ.รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 มีความล่าช้า แม้ปัจจุบันกฎหมายทั้ง 3 ฉบับจะผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.แล้วก็ตาม
เรื่องนี้ยังต้องมีการแก้ไขสัญญาสัมปทานกับเอกชน 2 ราย คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ และบีทีเอส ในเรื่องรายได้ต่างๆ ซึ่งการเจรจาก็ยังไม่เรียบร้อย โดยเฉพาะสัมปทานบีทีเอส ที่ตัวเลขชดเชยยังไม่ตรงกัน รวมถึงกรณีนโยบาย 20 บาท ไปทำให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยการเติบโตปกติ ทางเอกชนจะต้องแบ่งรายได้ให้รัฐ โดยจ่ายเข้ากองทุนตั๋วร่วมฯ ที่สัดส่วน 25% อีกด้วย ขณะที่ประเมินว่ารัฐต้องหาเงินอุดหนุนเพื่อชดเชยรายได้ ประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จำเป็นต้องเลื่อนมาตรการค่ารถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือ 20 บาทตลอดสาย จากกำหนดวันที่ 1 ต.ค. 2568 ออกไปเป็นวันที่ 15 พ.ย. 2568 เพราะดูตามกรอบเวลาขั้นตอนการออกกฎหมาย ร่างพ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 (พ.ร.บ.รฟม.) และต้องรอการประกาศกฎหมายลูก ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 45 วัน ยังไงก็ไม่ทัน
@“บ้านเพื่อคนไทย”ส่อแววได้แค่จอง
อีกนโยบายที่พรรคเพื่อไทยผลักดันคือ “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” โดยใช้ที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นำร่อง จำนวน 4 โครงการ จำนวน 5,700 ยูนิต ประกอบด้วย บางซื่อ กม.11 พื้นที่ประมาณ 5 ไร่ จำนวน 2,000 ยูนิต เป็นรูปแบบคอนโดมิเนียม 26 ชั้น , ธนบุรีพื้นที่ประมาณ 21 ไร่ คอนโดมิเนียม 8 ชั้น ,เชียงราก พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ คอนโดมิเนียม 8 ชั้น และพื้นที่เชียงใหม่ พื้นที่ประมาณ 7 ไร่ มีคอนโดมิเนียม 8 ชั้นและ บ้านเดี่ยว จำนวน 34 หลัง
หวังให้คนไทยวัยทำงานมีบ้านเป็นของตัวเอง ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าเพื่อเดินทางง่าย ไม่ต้องดาวน์ ผ่อนถูกเริ่มเดือนละ 4,000 บาทเท่านั้น จ่ายแค่ 30 ปี แต่ได้รับสิทธิถือครอง 99 ปี แม้ระยะหลังเสียงโปรโมทจะเบาลงเพราะติดปัญหา ที่ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ ขยายเวลาเช่าอสังหาริมทรัพย์จาก 30 ปี เป็น 99 ปี แต่ก็เป็นอีกนโยบายที่โดนใจประชาชนแห่เข้าลงทะเบียนเพื่อลุ้นจับสลากกว่าแสนราย
โดยลงทะเบียนจองสิทธิ์ทางออนไลน์ ร่วมโครงการมากกว่า 260,000 คน และในจำนวนนี้มีผู้ผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากธนาคารอาคารสงเคราะห์แล้วกว่า 136,699 คน แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม
บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) บริษัทลูกของรฟท.ซึ่งจะเป็นผู้ดำเนินการ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4,685 ล้านบาท ได้แก่ ค่าเช่าพื้นที่จากรฟท. ประมาณ 100 ล้านบาท ,ค่าลงทุนช่วงเตรียมโครงการ ประมาณ 260.9 ล้านบาท ,ค่าก่อสร้างประมาณ 3,459 ล้านบาท ,ค่าใช้จ่ายระหว่างดำเนินโครงการ ประมาณ 864 ล้านบาท โดยมีธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นแหล่งเงินทุนในการพัฒนาโครงการ และให้สินเชื่อกับประชาชน ดอกเบี้ย 2.5% คงที่ 25 ปี
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ระบุว่า ตามแผนงาน ช่วงเดือนต.ค. 2568 จะเสนอครม.ขออนุมัติเพื่อดำเนินโครงการ และจับสลากได้ประมาณเดือนพ.ย. 2568 เนื่องจาก โครงการบ้านเพื่อคนไทย เป็นโครงการใหม่ที่ยังไม่มีรูปแบบมาก่อน และเป็นนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น ขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ จะต้องถูกต้องตามกฎหมาย สามารถตอบสังคมได้ว่าทำไมต้องทำโครงการนี้ ขณะนี้ยังมีกระบวนการที่ต้องเตรียมความพร้อมรายละเอียดก่อนเข้าครม. เช่น ศึกษารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้เสร็จ และออกแบบรายละเอียด การรื้อย้ายผู้เช่า หรือผู้บุกรุกในบางพื้นที่ โดยยืนยันว่าจะสามารถเริ่มส่งมอบให้ผู้ได้รับสิทธิ์ได้ตั้งแต่กลางปี 2569
“ว่ากัน หากเปลี่ยนขั้วรัฐบาล รถไฟฟ้า 20 บาท และบ้านเพื่อคนไทย 2 โครงการนี้ ก็คงต้องพับจบไปด้วย แต่หากเพื่อไทยใช้เกมยุบสภา แล้วยังมีเวลารักษาการไปอีก 3-4 เดือน รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย อาจจะยังมีลุ้น ส่วนบ้านเพื่อคนไทย มีประเด็นกฎหมาย การให้เช่าที่ดิน 99 ปี ที่เป็นอุปสรรค ขณะที่มีความเห็นอยากให้รัฐบาลทบทวนใหม่ เพราะโครงการนี้ไม่ใช่บ้านคนจน แต่เป็นบ้านสำหรับคนตั้งตัวใหม่ แก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยไม่ตรงจุด เพราะคนมีรายได้ควรเข้ากลไกตลาดที่อยู่อาศัยตามปกติ รัฐไม่ควรไปแทรกแซง หรือนำที่ดินรถไฟ ที่เป็นทรัพย์สินแผ่นดินไปใช้เพื่อหาเสียง”
@“ไฮสปีด 3 สนามบิน”ลากยาว…แก้สัญญาร่วมทุนฯไม่จบ
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท มีประเด็นแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯระหว่าง รฟท.และ บริษัท เอเชีย เอรา วัน
จำกัด (ซี.พี.) ผู้รับสัมปทาน ซึ่งล่าสุด อัยการสูงสุด ตรวจร่างสัญญา ฉบับแก้ไขแล้ว แต่หลังจาก รฟท.และ บจ.เอเชีย เอรา วัน ได้ร่วมกันพิจารณาร่างที่อัยการสูงสุดตรวจแก้ไข ทางเอกชน มีความเห็นว่า ทางอัยการสูงสุดได้แก้ไขข้อความที่อาจจะทำให้เป็นการวางหลักประกันซ้ำซ้อนและมีความรับผิดชอบเพิ่มมากกว่ากรอบ การชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ (Public Investment Cost: PIC) เพื่อความมั่นใจกรณีการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จและความเสียหายที่จะเกิดขึ้น กรณีรัฐปรับวิธีชำระเงินจาก จ่ายเมื่อก่อสร้างโครงการฯแล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเดินรถเป็น รัฐจ่ายเร็วขึ้น “สร้างไปจ่ายไป” ซึ่ง อาจทำให้ธนาคารไม่ออกออกหลักประกันให้ได้ จึงเตรียมเสนอไปที่ อัยการสูงสุด ขอปรับข้อความดังกล่าวใหม่
“การส่งเรื่องกลับไปที่อัยการสูงสุดเพื่อปรับแก้ข้อความ ดูเหมือนว่า ทำให้เสียเวลา อีกอย่างน้อย 30-45 วันตามกรอบดำเนินการ แต่เมื่อดูสถานการณ์การเมืองขณะนี้ ที่จะมีการยุบสภา หรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ บอร์ดอีอีซี ไม่สามารถประชุมได้ ดังนั้รไฮสปีด 3 สนามบินคงไม่ได้เริ่มต้นภายในปีนี้ อย่างแน่นอน”
@แลนด์บริดจ์ 9.97 แสนล้านบาท รอการเมืองนิ่ง…นักลงทุนยังสนใจ
ส่วนโครงการอภิมหาโปรเจ็กต์ของประเทศ อย่าง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ซึ่งล่าสุด สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เพิ่งเปิดเวทีสรุปผลการศึกษา ไปเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมาโดยมีการนำเสนอ รูปแบบโมเดลการพัฒนาและการลงทุน อัตราผลตอบแทนในการลงทุน และโมเดลการลงทุน (Business Development Model) รูปแบบ PPP net Cost รัฐลงทุนเรื่องค่าเวนคืนที่ดิน ส่วนที่เหลือเอกชนลงทุนทั้งหมด ระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี รวมถึงผลการศึกษาด้านการประเมินสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ผลการศึกษา ล่าสุดมีการปรับมูลค่าลงทุนจาก 1.01 ล้านล้านบาท เหลือ 997,680 ล้านบาท หลังปรับการพัฒนาใหม่เป็น 3 เฟส เพื่อให้สอดคล้องกับการคาดการณ์ปริมาณการขนส่งสินค้าที่ท่าเรือฝั่งระนองและชุมพรใหม่ ในช่วง 2 ปีแรก ที่คาดว่าจะเปิดบริการ ระหว่างปี 2573-2574 ประเมิน ปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง3.75 ล้านตู้ต่อปี ส่วนท่าเรือชุมพร 3.765 ล้านตู้ต่อปี
ช่วง 2 ปีต่อไป ปี 2575-2576 มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 8.132 ล้านตู้ต่อปี ส่วนท่าเรือชุมพร 8.067 ล้านตู้ต่อปี
ช่วง 18 ปีต่อไป (ปี 2578-2596) มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 14.092 ล้านตู้ต่อปี ส่วนท่าเรือชุมพร 13.835 ล้านทีอียูต่อปี
และ ระยะที่ 2 ช่วงปี 2597-2622 มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 20 ล้านตู้ต่อปี ส่วน ท่าเรือชุมพร 20 ล้านตู้ต่อปี
นอกจากนี้ สนข.อยู่ระหว่าง ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) หรือ พ.ร.บ. SEC ซึ่งอย่ระหว่างกรมบัญชีกลาง พิจารณาเรื่องเงินกองทุน ที่จะเข้ามาชดเชยกรณีอาชีพและพื้นที่ทำกินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตามขั้นตอนก่อนเสนอครม. และเสนอต่อประชุมสภาผู้แทนราษฏรพิจารณาร่างพ.ร.บ. ต่อไป
ตามไทม์ไลน์เดิม จะเสนอครม.ในเดือนก.ย.-ต.ค.นี้ จากนั้นจะเสนอสภาผู้แทนราษฎร และสว. ตามขั้นตอน คาดใช้เวลาอีก 5-6 เดือน กว่ากฎหมายจะออกมาบังคับใช้ และจัดตั้งสำนักงาน SEC ซึ่งจะพอดีกับที่ สนข.ได้จัดทำร่าง RFP เพื่อเตรียมประมูลภายในปี 2569
ขณะที่ เมื่อปลายเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา สนข. ได้มีการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ ที่แสดงความสนใจโครงการ ซึ่งนักลงทุนฯเข้าใจสถานการณ์การเมืองประเทศไทยในขณะนี้และยังยืนยันในความสนใจโครงการ
ส่วน โครงการจะได้รับการผลักดันต่อไปอย่างไร อยู่ที่รัฐบาลชุดใหม่
สำหรับกลุ่มนักลงทุนที่แสดงความสนใจ โครงการแลนด์บริดจ์ ได้แก่บริษัท Dubai Port World (DP World) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์และ Supply Chain ยักษ์ใหญ่ระดับโลก เพราะเห็นว่าทำเลของแลนด์บริดจ์ดี อีกทั้ง ต้องการมีท่าเรือบริหารเอง ส่วนนักลงทุนจีน อย่างไชน่าฮาร์เบอร์ ก็เป็นอีกประเทศที่ต้องการเส้นทางขนส่งทางทะเลรองรับกรณีเกิดปัญหาที่ช่องแคบมะละกา หรือ กลุ่มมิตซุย ประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ความสนใจมาตลอด
@เผยโครงการ”ทางด่วน -รถไฟ-มอเตอร์เวย์”จ่อคิว รอครม.ใหม่
สำหรับโครงการคมนาคม ด้้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีการศึกษาความเหมาะสมการลงทุนไว้แล้ว มีหลายโครงการที่เตรียมพร้อมเสนอครม.ในช่วงนี้ ได้แก่ 1.โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,312 กิโลเมตร (กม.) มูลค่ารวมประมาณ 297,926.68 ล้านบาท โดย ที่ประชุมคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ บอร์ดสภาพัฒน์ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2568 มีมติเห็นชอบอนุมัติ 3 โครงการแล้ว วงเงินรวม ได้แก่ 1.ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กม. วงเงิน 30,422.53 ล้านบาท 2. ช่วงสุราษฎร์ธานี - ชุมทางหาดใหญ่ - สงขลา ระยะทาง 321 กม. วงเงิน 66,270.51 ล้านบาท 3. ช่วงชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กม. วงเงิน 7,772.90 ล้านบาท เตรียมเข้าสู่ขั้นตอนเสนอครม.อนุมัติ
2. โครงการทางด่วนสายฉลองรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันออก(N2) ระยะทาง ระยะทาง 6.7 กม. วงเงิน 16,960 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนเตรียมเสนอครม.
3.ทางด่วนชั้นที่ 2 ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 (Double deck) ระยะทาง 17 กม. วงเงิน 35,000 ล้านบาท รอเสนอบอร์ด PPP ขยายสัญญาเพื่อเสนอครม. ต่อไป
3.มอเตอร์เวย์ (M8) ช่วงนครปฐม-ปากท่อ ระยะทาง 61 กม. วงเงิน 43,227 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนสอบถามความเห็ฯหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเสนอครม.
4.โครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านตะวันออก (East Expansion) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงิน 13,000 ล้านบาท ขั้นตอน รอเสนอครม.
5.โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 3 วงเงิน 36,829 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนทบทวนแบบและเตรียมเสนอครม. ต่อไป
ตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจประเทศดิ่งเหว แต่คนไทยยังต้องอดทนกันต่อไป ส่วนโครงการไหนจะได้ไปต่อ หรือถูกพับเก็บ ต้องดูหน้าตารัฐบาลใหม่ และหากปัญหาการเมืองลากยาว เศรษฐกิจตกต่ำซึมลึก ความเสียหายน่าจะลุกลามกระทบขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะลดลงมากจนยากที่จะฟื้นกลับมา