แก้สัญญา”ไฮสปีด 3 สนามบิน”ยังไม่จบ หลัง”อัยการสูงสุด”ปรับข้อความหลักประกันเพิ่มเติม”สร้างไปจ่ายไป”งานที่มีหลักประกันอื่นครอบคลุมอยู่แล้ว ซี.พี.หวั่นซ้ำซ้อน กก.กำกับฯนัดประชุมก่อนส่งอัยการแก้ไข ส่วน”อู่ตะเภา”คาดชงครม. 2 ก.ย. รับทราบมติบอร์ด EEC ตัดเงื่อนไข NTP ไม่รอไฮสปีด
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC) เปิดเผยว่า จากที่ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้มีการตรวจพิจารณาร่างแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)ระยะทาง220กม.วงเงิน 224,544ล้านบาท ที่มี บริษัทเอเชียเอราวัน
จำกัด (ซี.พี.)เป็นผู้รับสัมปทาน ระยะเวลา50ปี เสร็จแล้ว และส่งให้รฟท. เมื่อวันที่15ส.ค.2568 ที่ผ่านมา โดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีข้อสังเกตและมีการแก้ไขข้อความในเรื่องของหลักประกัน กรณีปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ(Public Investment Cost: PIC)ทั้งโครงการจากเดิมกำหนดชำระเงินเมื่อก่อสร้างโครงการฯแล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเดินรถ เป็นรัฐจ่ายเร็วขึ้น “สร้างไปจ่ายไป”โดยให้ เอกชนวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม เพื่อความมั่นใจกรณีการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จและความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอัยการสูงสุดได้แก้ไขข้อความที่เพิ่มหลักประกันในส่วนงานที่มีหลักประกันก้อนอื่นครอบคลุมไว้อยู่แล้ว
โดยหลังจาก รฟท.และ บจ.เอเชียเอราวัน ได้ร่วมกันพิจารณาร่างที่อัยการสูงสุดตรวจแก้ไข งทางเอกชน มีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การแก้ไขข้อความดังกล่าวของอัยการสูงสุด ว่า จะทำให้เป็นการวางหลักประกันซ้ำซ้อนและกระทบต่อความรับผิดชอบต่อหลักประกันที่จะวางใหม่เนื่องจากมีความรับผิดชอบเพิ่มมากกว่ากรอบ PIC และอาจทำให้ธนาคารไม่ออกออกหลักประกันให้ได้
ทั้งนี้ จึงจะเสนอไปที่ อัยการสูงสุด ขอปรับข้อความดังกล่าวใหม่เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้นว่าหลักประกันที่วางเพิ่ม จะครอบคลุมเฉพาะเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ หรือ PIC เท่านั้น และจะไม่มีผลกระทบต่อการวางหนังสือค้ำประกันโดยธนาคารหรือ แบงก์การันตี ส่วนกรณีความเห็นอัยการ การแก้ไขสัญญาขัดต่อหลักการหรือไม่ พิจารณาแล้ว ยืนยันไม่ขัด
@ประชุมกก.กำกับสัญญาฯเร่งส่ง”อัยการสูงสุด”แก้ข้อความ
โดยตามขั้นตอน หลังจากนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาฯ จะมีการประชุมในสัปดาห์นี้ เพื่อรับทราบในประเด็นดังกล่าว จากนั้นจะส่งเรื่องกลับไปที่อัยการสูงสุดเพื่อแก้ไข ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานเพราะมีประเด็นแก้ไขไม่มาก หลังอัยการสูงสุดตรวจตรวจแก้แล้ว ส่งเรื่องกลับรฟท. นำเสนอบอร์ดรฟท.เพื่อทราบ และเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด EEC) เห็นชอบต่อไป
@รอรัฐบาลใหม่พิจารณา สัญญาฉบับแก้ไข
รายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้เนื่องจาก คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นชุดรักษาการ หลังจากเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ “ฮุน เซน” และมีผลถึงครม.ทั้งคณะ ด้วย เชื่อว่าในช่วงนี้บอร์ด EEC ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน จะไม่มีการประชุม จนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลและครม.ชุดใหม่เรียบร้อย รวมถึงมีประธานบอร์ด EEC คนใหม่ เนื่องจากการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯนี้ถือเป็นเรื่องที่จะมีผลผูกพันกับรัฐบาลชุดต่อไป
สำหรับการแก้ไข สัญญาร่วมทุนฯรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ที่มีการเจรจาได้ข้อยุติ มีประเด็น ปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ(PIC)ทั้งโครงการจากเดิมกำหนดชำระเงินเมื่อก่อสร้างโครงการฯแล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเดินรถแล้วจำนวนไม่เกิน149,650ล้านบาทเป็นโดยรัฐต้องจ่ายเร็วขึ้นตามจ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่รฟท.ตรวจรับโดยเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิมรวมเป็นจำนวน160,000ล้านบาท(สำหรับค่างานโยธาและค่าระบบรถไฟฟ้า)เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงฯได้ภายใน5ปี โดยวงเงินรวมเป็น125,932.54ล้านบาท วิธีสร้างไปจ่ายไปซึ่งทำให้รัฐประหยัดค่าดอกเบี้ยได้ประมาณ24,000ล้านบาท
@อู่ตะเภา จ่อชงครม. 2 ก.ย.ตัดเงื่อนไข NTP ไม่รอไฮสปีด
ส่วนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก นั้น จากเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 บอร์ด EEC มีมติรับทราบปัญหาอุปสรรคและแนวทางการแก้ไข รวมถึงทางบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่นจำกัด (UTA) ผู้รับสัมปทานฯ ได้ติดตามเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ นั้น จะมีการเสนอครม.ในการประชุม วันที่ 2ก.ย. 2568 เพื่อทราบตามมติ บอร์ด EEC ตามขั้นตอน ซึ่งคาดว่าจะไม่มีปัญหา เพราะเป็นการทำตามกระบวนการและครม.รับทราบตามที่บอร์ด EEC มีมติมาแล้ว
สำหรับประเด็นที่มีการแก้ไข คือ ทาง UTA จะสละเงื่อนไขในการ ออก NTP ให้เริ่มงาน โดยไม่รอโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงการปรับแผนพัฒนาจาก 4 ระยะ เป็น 6 ระยะ และในระยะแรก ปรับการพัฒนาขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารเป็นเฟสย่อย โดยอาจจะเริ่มต้นที่ 3 ล้านคนก่อน จากเดิมที่ 12 ล้านคนต่อปี ทั้งนี้เพื่อลดการลงทุนให้เหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสาร ขณะที่ EEC เห็นว่า การก่อสร้างที่ 3 ล้านคน อาจจะไม่เหมาะสม ระยะแรกควรก่อสร้างรองรับที่ 6 -8 ล้านคน แต่อาจจะทยอยเปิดเป็นส่วนๆ ได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการเจรจากันมาแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งหลังจากครม.รับทราบกรอบแนวทางแล้ว จะเร่งสรุปการเจรจาให้ได้ข้อยุติการปรับแผนการพัฒนา จากนั้นจะต้องเสนอครม.อีกครั้ง เพื่อเดินหน้าโครงการ แต่จะไม่มีแก้ไขสัญญา เพราะใช้วิธีการบริหารสัญญาได้
สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท มี บจ. อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) เป็นบริษัทร่วมทุนฯ บมจ. การบินกรุงเทพ (BA) , บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS), และบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STECON) เป็นบริษัทคู่สัญญา