ภูมิธรรมยัน รบ.รักษาการยุบสภาได้ นักกฎหมายแย้งไม่มีอำนาจ ชี้หลักกูอาจสร้างปัญหาใหญ่ ย้ำต้องรอบคอบ ระวังกระทบเบื้องสูง
นอกเหนือไปจากเรื่องความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการตั้งรัฐบาลแล้ว มีประเด็นข้อกฎหมายที่หลายฝ่ายกำลังสงสัยว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ คือ อำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร โดยเรื่องนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแล้ว แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง คนที่ถูกเลือกออกมารับผิดชอบแทนนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ปฏิบัติการแทนนายกรัฐมนตรีมีอำนาจทำทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะโยกย้ายข้าราชการ ไม่ว่าจะจ่ายงบฉุกเฉินและเบิกจ่ายใดๆ ทำได้หมด หรือแม้กระทั่งยุบสภาก็ได้
"ถ้าจะยุบก็ ยุบได้เลยแต่ใครขัดข้องก็ไปฟ้องได้ ไม่มีปัญหาใดๆ ขณะนี้ไม่ต้องมาถกเถียงในเรื่องที่มีปัญหา เพราะเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหา ขณะนี้เป็นกระบวนการในการสร้างข่าวทำให้ไม่แน่ใจ และทำให้รัฐบาลมีปัญหา แต่ยืนยันว่าไม่มีปัญหา และการตั้งรัฐบาลไม่ได้จบง่ายๆ" นายภูมิธรรม กล่าว
ขณะที่ เริ่มมีการแสดงความคิดเห็นจากนักฎหมายออกมาแล้วว่านายภูมิธรรม ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร โดยนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า อย่างที่ตนเคยเผยแพร่ไปว่าเป็นอำนาจเฉพาะตัวตามหลักความไว้วางใจของนายกรัฐมนตรี ในระบบรัฐสภา โดยความเห็นส่วนตัว ตนเห็นว่าทำไม่ได้ อันนี้ตามตำราว่ามา
"ต้องพิจารณาให้รอบคอบ และเป็นความรับผิดชอบดุลยพินิจของรัฐบาลที่จะพิจารณา แต่ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบว่ามีทั้งทำได้และทำไม่ได้ อันไหนที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ซึ่งอันนี้ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ อย่าให้ไปกระทบกระเทือนเบื้องพระยุคลบาท เพราะพระองค์ท่านไม่ทรงเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งนี่เป็นหลักทั่วไปอยู่แล้ว เวลาจะทำอะไรคนที่เสนอขึ้นไปจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด"
เช่นเดียวกับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อเรื่อง "รัฐบาลยุบสภาได้ไหม?" มีเนื้อหาสรุปว่า ถ้าดูข้อจำกัดการใช้อำนาจของรัฐบาลรักษาการในมาตรา 169 ก็จะเห็นได้ว่า ไม่ได้ห้ามการยุบสภา เพราะการยุบสภาเป็นพระราชอำนาจดังที่มาตรา 103 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ ที่บอกว่ารัฐบาลรักษาการยุบสภาได้หรือไม่จึงไม่ถูกต้อง ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่า รัฐบาลรักษาการจะถวายคำแนะนำให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรที่นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในร่างพระราชกฤษฎีกาถวายขึ้นไปตามมาตรา 182 ของรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ และพระมหากษัตริย์จะทรงลงพระปรมาภิไธย ตามที่ถวายคำแนะนำหรือไม่ ถ้าทรงลงพระปรมาภิไธย สภาก็ถูกยุบ ถ้าไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย สภาก็อยู่ต่อ จึงมีการถกเถียงกันถึงพระราชอำนาจที่จะทรงปฏิเสธการยุบสภาที่อังกฤษเรียกว่า the royal prerogative of refusal ซึ่งนักกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษอย่าง Sir Ivor Jennings ยืนยันว่าตามประเพณีการปกครองที่เรียกว่า convention of the constitution พระมหากษัตริย์อังกฤษทรงปฏิเสธยุบสภาได้ในบางสถาณการณ์ เช่น รัฐบาลพรรคเดียวกันยุบสภาหลายครั้งในปีเดียว เป็นต้น
นายบวรศักดิ์ อธิบายว่า ในเรื่องนี้ ถ้าพิจารณาแต่มาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญที่วางข้อจำกัดอำนาจรัฐบาลรักษาการไว้ ก็ไม่เห็นมีตรงไหนที่ห้าม ครม หรือ นายกรัฐมนตรีรักษาการที่จะกราบบังคมทูลให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา แต่ช้าก่อน แม้กฎหมายไม่ห้ามไว้ชัดแจ้งก็ต้องดูประเพณีการปกครองด้วย ผมเห็นว่ารัฐบาลรักษาการต้องผ่าน2ด่าน ด่านแรกคือ หลักกฎหมายรัฐธรรมนูญทั่วไป ที่ว่ารัฐบาลรักษาการจะทำได้เฉพาะงานประจำ (affaires courantes) จะทำงานนโยบายมิได้
ดังนั้น ถ้าดูตามประเพณีการปกครองที่ถือกันมาอย่างน้อยเกือบสามสิบปี การกราบบังคมทูลให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งเป็นนโยบายที่มีผลร้ายแรงถึงขั้นทำให้สภาผู้แทนราษฎรพ้นตำแหน่งทั้งสภา จึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง ถ้าดูตามประเพณีการปกครองของไทย และหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญทัวไป เราก็ต้องบอกว่า รัฐบาลรักษาการไม่อาจถวายคำแนะนำให้ยุบสภาได้ ด่านที่สองคือ หากรัฐบาลรักษาการถวายคำแนะนำโดยนายกรัฐมนตรีรักษาการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรทูลเกล้าฯถวายขึ้นไป พระมหากษัตริย์ก็ทรงมีพระราชอำนาจปฎิเสธการยุบสภา(the royal prerogative of refusal) เหมือนที่พระมหากษัตริย์อังกฤษทรงมี ผมได้แสดงหลักวิชากการ ตามหลักรัฐธรรมนูญมาให้พิจารณากัน โปรดพิจารณาด้วยหลักวิชา อย่าใช้หลักกู นะครับ