แม่ทัพภาคที่ 1 แถลงหลังโซเชียลฯ ถล่มยับปมชายแดนไทย-กัมพูชา ยันใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 แต่อ้างเป็นที่ราบ เต็มไปด้วยชุมชน ไม่เปิดพื้นที่สู้รบที่ปอยเปต กลัวเป็นเป้าสงคราม ทำประชาชนเดือดร้อน แต่ยับยั้งการเติมกำลังฝ่ายกัมพูชา ชู MOU43 ช่วยลดขัดแย้ง ปัดเอี่ยวผลประโยชน์ชายแดน อีกด้านปฎิเสธโยงโยกย้ายทหาร ยันสนิทสนมกัน ทำงานอย่างเดียว
วันนี้ (22 ส.ค.) ที่กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ชี้แจงหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย-กัมพูชา ถึงกรณีที่เป็นประเด็นข่าว 4 ประเด็น โดยยืนยันว่า กองทัพภาคที่ 1 ใช้แผนที่ 1:50,000 เช่นเดียวกับกองทัพภาคที่ 2 แต่ลักษณะพื้นที่มีความแตกต่างกัน เพราะกองทัพภาคที่ 2 มีลักษณะภูมิประเทศเด่นชัด เป็นแนวเทือกเขาพนมดงรัก บางจุดมีหน้าผาชัดเจนเป็นป่าเขา ต่างกับพื้นที่ภาคที่ 1 ซึ่งเต็มไปด้วยชุมชนขนาดใหญ่ของทั้งสองฝั่ง ลักษณะดินต่อดิน ยกเว้นบางช่วงที่อาจเป็นแนวคลอง ได้แก่ คลองลึก ยืนยันว่าตลอดแนวหลักเขตตั้งแต่ 28-51 กำลังพลกองทัพภาคที่ 1 สามารถดูแลได้ทั้งหมด พร้อมได้ภาพสดจากกล้องและโดรน เพื่อให้สื่อมวลชนได้เห็นถึงกำลังพลที่รักษาหลักเขตทั้งหมด
พล.ท.อมฤต ยอมรับว่า ยังมีบางหลักเขตที่ฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมรับ จึงเป็นที่มาของเอ็มโอยู 43 ที่ทำไว้ระหว่างรัฐบาล ได้รับความยินยอมจากทั้งสองประเทศตรงกันว่า ในจุดที่ตกลงไม่ได้จะไม่มีการเข้าไปเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้เกิดขึ้น อีกทัังปัจจุบันเรามีเครื่องมือที่ทันสมัย ชัดเจน แม่นยำ โปร่งใส เป็นที่ยอมรับของทั้งสองประเทศ สำหรับขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นระดับนโยบายที่เราจะทำต่อไป
สำหรับการปฎิบัติในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1 ในการสนับสนุนสถานการณ์ความตึงเครียดเกิดในพื้นที่ภาคที่ 2 นั้น แม่ทัพภาคที่ 1 ระบุว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 68 มีการยั่วยุมาตลอด ตั้งแต่การร้องเพลงชาติที่ประสาทตาเมืองธม เหตุการณ์ที่ช่องบก และการวางระเบิด เหตุการณ์ความรุนแรงยกระดับมากยิ่งขึ้น จนมีการปฏิบัติการทางทหาร วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายมีการเพิ่มเติมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ซึ่งในส่วนกองทัพภาคที่ 1 มีการเคลื่อนย้ายกำลังครบทุกหน่วย ภายในวันที่ 25 กรกฎาคม และเข้าปฏิบัติพื้นที่เป้าหมายในช่วงเช้าวันที่ 26 กรกฎาคม เสร็จสิ้น โดยไม่มีการโต้ตอบจากฝ่ายตรงข้าม เป็นเพราะกำลังรบของฝ่ายไทยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 มีกำลังรบสูงกว่าฝ่ายกัมพูชา
นอกจากนี้สิ่งที่คำนึงถึงตลอดคือ หากมีการเปิดพื้นที่รบเพิ่มจากพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ก็จะกลายเป็นการประกาศสงคราม และหากเป็นสงคราม จะมีความวุ่นวายตามมาอีกมากมาย ทั้งการระดมสรรพกำลัง การควบคุมต่างๆ ที่สำคัญคือประชาชนจะเดือดร้อนหมด เช่นในพื้นที่ภาคอีสานที่มีการอพยพประชาชนนับ 100,000 คน แต่ในพื้นที่ภาคตะวันออกมีการเตรียมและอพยพแต่ไม่มากเท่า เพราะเราได้คำนึงตลอดถึงความเดือดร้อนของประชาชน ในส่วนนี้ประชาชนที่อยู่ตอนในหรือคนในกรุงเทพฯ อาจไม่เข้าใจ
“ยืนยันว่า การปฏิบัติการของกองทัพภาคที่ 1 ช่วยยับยั้งการไปเพิ่มเติมกำลังของฝ่ายกัมพูชา ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2” พล.ท.อมฤต กล่าว
แม่ทัพภาคที่ 1 ยังกล่าวถึงการปฎิบัติต่อพื้นที่ บ้านหนองจาน ที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้ ว่า ได้พยายามผลักดันถอนทหารกัมพูชาออกไป โดยไม่มีการปะทะ หลังจากนั้นจึงมีการวางแนวลวดหนามเพื่อควบคุมพื้นที่ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามกลับเข้ามา ยืนยันว่าการวางแนวลวดหนามเป็นหลักการรบ ป้องกันตนเอง มิใช่หลักเขตแดนตามที่เป็นข่าว และบ้านหนองจาน ระหว่างหลักเขตที่ 46 และ 47 ไม่มีหมุดหลักเขต เป็นพื้นที่ราบ จึงวางลวดหนามเพื่อป้องกันตนเอง
นอกจากนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 ยังกล่าวถึงการเปิดปิดด่านต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ไม่เกี่ยวข้องกับจันทบุรีและตราด เพราะมีการปิดด่านก่อนที่จะมีสถานการณ์การสู้รบ ตามยุทธวิธีของศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) เป็นภารกิจปราบปรามยาเสพติด และสแกมเมอร์ การปฏิบัติการดังกล่าวถือเป็นการช่วยลดทอนขีดความสามารถ และปิดเส้นทางทางการเงินให้กับฝั่งกัมพูชา ทำให้ฝั่งกัมพูชาขาดกำลังบำรุง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแก๊งสแกมเมอร์ ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวไทยและสร้างผลกระทบไปทั่วโลก ตนถือว่าการปฏิบัติในส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ นอกจากหลักยุทธการและยุทธวิธี ที่ได้คำนึง อย่างรอบคอบตลอดมาในการดำเนินการของกองทัพภาคที่ 1
“กองทัพภาคที่หนึ่งยืนยันศักดิ์ศรีการรักษาประชาธิปไตยและผลประโยชน์ของโทษของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนและทรัพย์สิน ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในกองทัพภาคที่หนึ่ง”
พล.ท.อมฤต ตอบคำถามกรณีข้อจำกัดพื้นที่ชายแดนกองทัพภาคที่ 1 ที่เป็นพื้นที่ราบและมีชุมชน แต่ยังมีกระแสโจมตีไปในเรื่องการเมือง หรือเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายหรือไม่ ว่า ไม่เกี่ยว วันนี้จึงได้ให้สื่อมาทำข่าวการประชุม RBC และลงพื้นที่กับคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว จึงถือโอกาสทำความเข้าใจให้สื่อโซเชียลฯทราบว่าที่จริงแล้วเป็นอย่างไร ได้เห็นภาพว่าเป็นอย่างไร ยุทธศาสตร์พื้นที่ ระหว่างพื้นที่หน้าผา กองทัพภาคที่ 2 แตกต่างจากกองทัพภาคที่ 1 ที่เป็นทุ่งนาติดกัน
พล.ท.อมฤต กล่าวว่า “ส่วนอีกเรื่องคนก็พูดกันไป ผมกับ ...” ซึ่งได้เว้นช่วงคำตอบ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ผมสนิทสนมกันจะตาย ทำงานร่วมกันมาตลอด แต่คนก็พูดกันไป เบี่ยงเบนไปอะไร เป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่ได้นั่น ผมก็ทำงานอย่างเดียว”