xs
xsm
sm
md
lg

ขอบคุณ “อังเคิลฮุน-ทักษิณ” เคลียร์ชายแดนเขมร !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


ฮุนเซน - ทักษิณ ชินวัตร
หากพูดกันแบบประชดแรงๆ ก็ต้องขอขอบคุณ “อังเคิลฮุน” นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถือว่าทั้งคู่เป็นผู้มีอำนาจแท้จริงในทั้งสองประเทศคือ กัมพูชาและไทย เพราะสามารถสั่งการได้ทุกอย่าง ดังนั้นการที่พวกเขาแตกคอกัน มีการเปิดโปงกันขึ้นมา ทำให้ได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น โดยเฉพาะกับคนไทยที่วันนี้ “ตาสว่าง” เสียที

แม้ว่าหลายคนมองว่าสาเหตุการแฉโพยทั้ง “คลิปเสียง” และการออกมาเปิดโปงแบบ “ทิ้งระเบิด” เข้าใส่ครอบครัวชินวัตร ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมา น่าจะมาจากการขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ และในอนาคตทั้งสองครอบครัวนี้อาจจะกลับมา “จูบปาก” กันอีก เพราะหากผลประโยชน์ลงตัวความสัมพันธ์แบบเดิมก็จะกลับมาอีก

ขณะเดียวกัน คุณูปการอีกอย่างที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญหลังจากที่มีรายการ “แฉโพย” กันขึ้นมา พร้อมทั้งการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย จนทำให้เกิดการสู้รบของทั้งสองฝ่ายตั้งแต่วันที่ 24-28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้ปัญหาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ สิ่งผิดกฎหมาย การรุกล้ำดินแดนเข้ามา รวมไปถึง การ“เมินเฉย” ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย นักการเมืองบางคน รวมไปถึง นายทหารบางคน ในรอบยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ได้ทำให้มีการ “สะสาง” กันขึ้นมาบ้าง แม้จะทำไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ทำให้ “คนไทยตื่นตัว” จนเกิดการ “กดดัน” บีบให้ฝ่ายที่รับผิดชอบแก้ปัญหา ไม่ให้ปล่อยปละละเลย จนเกิดปัญหาเรื้อรังและแก้ไขได้ยากเหมือนทุกวันนี้

สิ่งที่ได้เห็นภาพชัดก็คือ การโพสต์บอกเล่าสภาพปัญหาเรื้อรังชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณ “ช่องอานม้า” โดย พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจในประเด็นของช่องอานม้า หลังเมื่อวาน (19 ส.ค.) เกิดเหตุวุ่นวายระหว่างทหารไทย-เขมร ระหว่างพาคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ที่ประกอบด้วยตัวแทน 8 ชาติ ตามข้อตกลงหยุดยิง ลงพื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี

โดยรองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ระบุข้อความว่า “ช่องอานม้า…ความจริงมีหนึ่งเดียว”
ช่องอานม้า ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นช่องเขาลักษณะคล้ายอานม้า เดิมเป็นช่องทางธรรมชาติชักลากไม้นำเข้าจากฝั่งกัมพูชา อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร

ห้วงสงครามกลางเมืองภายในกัมพูชา ชาวกัมพูชาหลบหนีภัยการสู้รบเข้ามาบริเวณชายแดน ไทยได้เอื้อเฟื้อพื้นที่จัดตั้งศูนย์อพยพตามหลักมนุษยธรรมโดยมีหน่วยงานของสหประชาชาติอำนวยการ หลังการสู้รบเราได้ส่งคืนผู้อพยพกลับประเทศแต่มีส่วนหนึ่งปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ไม่ยอมกลับ ด้วยหลักมนุษยธรรมที่สากลนำมากล่าวอ้างและความไม่เด็ดขาดของเราทำให้ไม่สามารถผลักดันกลุ่มคนเหล่านี้ออกจากพื้นที่ได้หมดและยืดเยื้อจนเป็นปัญหาถึงปัจจุบัน

ปี 2542 จ.อุบลราชธานี และ จ.พระวิหาร เห็นชอบเปิดช่องอานม้าเป็นจุดผ่อนปรนเพื่อการค้า กำหนดให้ตลาดฝั่งกัมพูชาอยู่บริเวณชุมชนเดิมนี้ ในขณะที่ตลาดฝั่งไทยลึกเข้ามาจากแนวเขตแดนประมาณ 300 เมตร คนกัมพูชาขึ้นมาจับจองพื้นที่ขยายชุมชนจากประมาณ 30 หลัง เป็นกว่า 100 หลังในปัจจุบัน

ปี 2554 ในขณะมีข้อขัดแย้งพื้นที่เขาพระวิหาร กัมพูชาใช้ห้วงเวลาที่เราติดตรึงการรบแอบสร้างอนุสาวรีย์ตาอม และปรับปรุงมาเรื่อยๆ จากแบบชั่วคราวจนเป็นแบบถาวร

ทั้งการขยายบ้านเรือน/การสร้างอนุสาวรีย์ ฝ่ายทหารได้พยายามแก้ไขด้วยการเจรจาและประท้วงผ่านกลไกทางทหารและกระทรวงการต่างประเทศรวม 65 ครั้ง แต่ฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉยซึ่งสร้างความอึดอัดแก่ฝ่ายทหารในพื้นที่เป็นอย่างมาก

ปี 2555 รัฐบาลสองฝ่ายเห็นชอบให้ยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร มีนักลงทุนมาสร้างกาสิโนรอ แต่หน่วยงานความมั่นคงไม่เห็นด้วยยื่นข้อเสนอให้ย้ายชุมชนลงไปด้านล่าง ฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอม ทำให้การยกระดับไม่สามารถดำเนินการได้ ฝ่ายความมั่นคงเห็นว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาจึงเสนอขอให้ปิดจุดผ่อนปรนฯ แต่ จ.อุบลราชธานีคัดค้านเนื่องจากเห็นว่าจะกระทบต่อการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน

หวังว่าคำกล่าวอ้าง “เพื่อมนุษยธรรม” และ “กระทบการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน” ซึ่งทำให้เราเพิกเฉยต่อประเด็นความมั่นคงแล้วส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ในระยะยาว จะเป็นบทเรียนให้ทุกภาคส่วนของไทยเราได้ตระหนักและแก้ไขท่าทีทั้งในปัจจุบัน และอนาคตครับ”

การสะท้อนปัญหาดังกล่าวทำให้เห็นภาพชัดว่าที่ผ่านมามักมีการอ้างเรื่อง “มนุษยธรรม การค้าชายแดน” แต่มีบางกลุ่มได้ประโยชน์ทั้งข้าราชการ และกลุ่มทุนบางกลุ่มที่อาจเชื่อมโยงกัน เพราะพื้นที่ชายแดนเต็มไปด้วยผลประโยชน์ เกิดการรุกล้ำดินแดนเข้ามาเข้ามาเรื่อยๆ จาก 5 ปี 10 ปี จนหลายสิบปี จากชุมชนเล็กๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนปักหลักถาวร เหมือนกับอีกหลายพ้นที่ เช่น พื้นที่ “บ้านหนองจาน” อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ที่กำลังกลายเป็นปัญหาที่ชาวกัมพูชาอ้างสิทธิ์เหนือแผ่นดินไทย หลังจากที่เคยอยู่อาศัยใน “ค่ายผู้อพยพ” หลังจากเกิดการสู้รบในกัมพูชาจนต้องหนีตายเข้ามาฝั่งไทย แต่กลับกลายเป็นว่าได้ยึดที่ดินปักหลักอาศัยอยู่ในดินแดนไทยกลายเป็นชุมชนใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้

“บ้านหนองจาน” อยู่ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว และต่อเนื่องไปจนถึงจังหวัดปราจีนบุรี พื้นที่แถบนี้อยู่ในความรับผิดชอบของ กองทัพภาคที่ 1 นำโดย พล.ท.อมฤต บุญสุยา ที่เวลานี้กำลังถูกตั้งคำถามมากที่สุดทำนองว่า “ไม่รบเต็มกำลัง” และถูกถามว่าทำไมไม่ฉวยโอกาสที่มีสถานการณ์สู้รบไม่ผลักดันชุมชนกัมพูชาออกไปให้พ้นเขตแดนไทยให้หมด ทั้งที่ในตอนนั้นมีการอพยพทั้งคนไทยและกัมพูชาออกนอกพื้นที่เพื่อความปลอดภัยทั้งหมดแล้ว

อย่างไรก็ดีแม้ว่า ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังดำเนินต่อไป แต่หากมองในมุมบวกบ้างก็มีไม่น้อยเหมือนกัน อย่างน้อยก็ทำให้คนไทย “ตาสว่าง” กับครอบครัว “ชินวัตร” ของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้กำลังเจอกับมรสุมหลายด้าน ขณะเดียวกันทำให้คนไทยตื่นตัวกับเรื่อง “อธิปไตยของชาติ” เกิดความสามัคคี เกิดความรักชาติในแบบที่ไม่ได้เห็นแบบนี้มานานแล้ว

สำหรับกัมพูชาแล้วนับจากนี้ไปในสายตาของคนไทยจะไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว ภาพของความรู้สึก “คบไม่ได้” หรือไว้ใจไม่ได้ จะติดอยู่ในใจคนไทยอีกนาน แม้ว่าจะย้ายหนีออกไปให้พ้นไม่ได้ แต่ต่อไปคงเป็นแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาสุงสิงอะไรประมาณนั้น !!

กำลังโหลดความคิดเห็น