'พระอลงกต' ลาออกไม่รอด! คดีวัดพระบาทน้ำพุเดินหน้าสอบโยง 6 มูลนิธิถือครองที่ดินพันไร่ สงสัยเงินสร้าง "ใจฟ้า อะคาเดมี่" หมอบีรับบริจาคทำไม? แฉยับวัดเคยทิ้งยาต้าน HIV ห้ามรักษาผู้ป่วย!
แม้ว่าพระราชวิสุทธิประชานาถ หรือหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จะลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ หลังจากเผชิญกับความไม่โปร่งใสหลายเรื่อง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลต่อทางโลกเท่าใดนัก เนื่องจากนายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยืนยันว่าการตรวจสอบยังคงเดินหน้าต่อตามปกติ
"การลาออกจากเจ้าอาวาสไม่มีผลอะไร เพราะเจ้าอาวาสคือ เจ้าพนักงาน ถึงลาออกแต่เหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้ว ถ้าเกิดมีการกระทำความผิด ที่ผ่านมาเจ้าอาวาสก็ถือเป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งทราบว่า การลาออกเพื่อไม่ให้ขัดขวางการสอบสวน" นายสุชาติ ระบุ
นายสุชาติ กล่าวถึงกระบวนการในการตรวจสอบว่า สำหรับปัญหาที่ดินของวัด พบว่ามีมูลนิธิเกี่ยวข้องกับวัดถึง 6 แห่ง บางมูลนิธิถือครองที่ดินในนามเพียง 100 ไร่ แต่กรรมการกลับครอบครองจริงกว่า 1,000 ไร่ จึงสั่งการให้ตรวจสอบว่าที่ดินดังกล่าว อยู่ในนามมูลนิธิหรือส่วนตัว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ากรรมการมูลนิธิมีศักยภาพทางการเงินพอซื้อที่ดินจำนวนมากได้จริงหรือไม่ และหากเป็นการถือครองแทนวัด ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าจะมีการคืนเมื่อใด
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการใช้จ่ายเงินของวัดนั้น นายสุชาติ ระบุว่า มีข้อสงสัยถึงการนำเงินไปใช้สร้าง “ใจฟ้า อะคาเดมี่” ซึ่งมีค่าใช้จ่ายหลายแสนบาทต่อเดือน ว่าสมเหตุสมผลหรือเกินหน้าที่ของวัดหรือไม่ อีกทั้งยังตั้งคำถามถึงเหตุผลที่ต้องให้หมอบีเข้ามาช่วยรับบริจาค และเหตุใดเงินจึงไม่โอนเข้าบัญชีวัดโดยตรง พร้อมย้ำให้ตรวจสอบกระบวนการเบิกจ่ายของวัดว่ามีมติกรรมการรับรองหรือไม่
นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย ออกมาเปิดเผยถึงอุปสรรคในการทำงานร่วมกับวัดพระบาทน้ำพุว่า เมื่อราว 21 ปีก่อน ในฐานะกรรมการสมาคมโรคเอดส์ฯ ได้รับทราบเรื่องราวจากพยาบาลชาวสวิตเซอร์แลนด์ชื่อ “ลิซ่า” ซึ่งมาทำงานที่วัดพระบาทน้ำพุเป็นเวลาเกือบ 10 เดือน ขณะนั้นผู้ป่วยยังไม่สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสได้ ต่อมา อ.พญ.จุรีจัตน์ สามารถจัดหายาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูงและผลข้างเคียงต่ำมาให้ผู้ป่วยจำนวน 53 คน โดยเบิกจากโรงพยาบาลใกล้เคียง พยาบาลลิซ่าจึงนำยานี้ไปให้ผู้ป่วย พร้อมตรวจร่างกายและบันทึกประวัติอย่างครบถ้วน หลังจากรับยาเพียง 4-5 เดือน อาการผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้ายของโรคเอดส์ก็ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ต่อมาทางวัดกลับมีคำสั่งห้ามแจกยาต้านไวรัส และนำยาที่เหลือไปทิ้ง ขณะที่แฟ้มประวัติผู้ป่วยก็ถูกทำลาย นอกจากนี้ ลิซ่าและอาสาสมัครที่พาผู้ป่วยไปรับยาตามโรงพยาบาลยังถูกกลั่นแกล้ง เช่น ถูกเจาะยางรถจักรยานยนต์ จนสุดท้ายทั้งหมดถูกไล่ออกจากวัด
“สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 20 ปีเป็นเรื่องที่อึดอัดใจมาก เพราะไม่ควรมีใครนำผู้ป่วยมาเป็นเครื่องมือในการหารายได้ วันนี้ผมดีใจที่ได้พูดออกมาและทำประโยชน์ให้สังคม” นพ.มนูญกล่าว