เผยคำชี้แจง นายกฯ แพทองธาร ต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคลิปเสียงฮุน เซน ระบุ "อยากได้อะไรก็บอกเดี๋ยวจัดการให้" แค่ตั้งคำถามหาความต้องการที่แท้จริง ส่วน "แม่ทัพภาค 2 ฝ่ายตรงข้ามเรา" อ้างเทคนิคเจรจา แยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ดูรักษาสันติไม่โอนอ่อนฝ่ายใด ย้ำตั้งใจรักษาผลประโยชน์ชาติ ไม่มีประโยชน์ส่วนตนและครอบครัว
วันนี้ (14 ส.ค.) สำนักข่าวอิศรา เผยแพร่คำชี้แจงส่วนหนึ่งที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีคลิปเสียงการสนทนากับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
โดย น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า การเจรจากับนายฮุนเซน เป็นความพยายามในการสร้างความไว้วางใจ เพื่อนำไปสู่ประเด็นการสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเท่านั้น การใช้ถ้อยคำว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" เป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อนายฮุน เซน ได้เสนอให้ฝ่ายไทยต้องยอมเปิดด่านก่อน แล้วฝ่ายกัมพูชาจะเปิดด่านหลังจากนั้นภายใน 5 ชั่วโมง ตนก็เสนอกลับไปว่าให้เปิดด่านพร้อมกัน ซึ่งนายฮุน เซน ไม่ได้ตอบรับหรือยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว นอกจากนี้ ตนเองก็ยังไม่ได้มีการตอบรับในเงื่อนไขดังกล่าวของนายฮุน เซน เช่นเดียวกัน เนื่องจากข้อเสนอใดๆ จากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม ตนเองจะต้องนำเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อน เพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ
ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็น "ฝั่งตรงข้าม" นั้น เป็นใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด แต่เป็นการสร้างความเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้โอนอ่อนหรือเอื้อประโยชนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่อาศัยหลักทางการทูต เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ ป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้น ตนได้ชี้แจงและกล่าวขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว พล.ท.บุญสิน ยืนยันต่อสาธารณชนว่าไม่ติดใจคลิปเสียงของตนเอง และไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้มีผลกระทบต่อการทำงานของกองทัพแต่อย่างใด
โดยเหตุที่กล่าวถึงเพราะหลังรับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคงว่า ทางการกัมพูชาไม่พอใจการเคลื่อนย้ายกำลังทหารของไทยที่ช่องบก ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 จึงจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง และเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ นำไปสู่การเปิดเจรจาในระดับทางการต่อไป โดยไม่ใช้มาตรการทางทหาร และทางเศรษฐกิจ ที่อาจส่งผลกระทบแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ ความตั้งใจเดียวของตนเองตลอดบทสนทนา เป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน เรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใด หรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
ทั้งนี้ พฤติการณ์ตลอดบทสนทนาดังกล่าวอยู่ในกรอบแห่งแนวนโยบายการต่างประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยสันติวิธีตามหลักสากล ไม่ใช่การดำเนินการในเชิงลับ หรือมีเจตนาบ่อนทำลายผลประโยชน์ของรัฐ โดยเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2568 มีการหารือกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงียมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ และนายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ ผู้ร่วมสนทนา คือนายฮุน เซน ไม่ได้มีสถานะตามกฎหมาย หรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ อีกทั้งในระหว่างสนทนา ไทยและกัมพูชายังถือว่ามีความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับที่ใกล้ชิดกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกัน และในฐานะประเทศในกลุ่มอาเซียน ถึงแม้จะมีความตึงเครียดระหว่างกันตามแนวเขตชายแดนบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่มีการปะทะด้วยกำลังกันอย่างรุนแรง และยังไม่มีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต