ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเรียก "แพทองธาร" และเลขาฯ สมช. ไต่สวนครั้งสุดท้าย ปมคลิปเสียง "ฮุน เซน" ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ 21 ส.ค. ก่อนนัดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ 29 ส.ค.นี้ อ่านคำวินิจฉัยบ่าย 3 โมง
วันนี้ (13 ส.ค.) ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญมีมติ กรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีคลิปเสียงการสนทนากับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ โดยศาลจะอนุญาตให้ผู้เข้าฟังคำวินิจฉัยเป็นรายบุคคล
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันพฤหัสบดีที่ 21 ส.ค. เวลา 10.30 น. พยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียก หากไม่มาตามกำหนดนัดถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล และให้ผู้ร้อง (ประธานวุฒิสภา) หรือผู้ถูกร้องที่ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลภายในวันพุธที่ 27 ส.ค. หากไม่ยื่นภายในกำหนถือว่าไม่ติดใจยื่น ซึ่งศาลจะอนุญาตให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนเป็นรายบุคคลเช่นกัน
คดีนี้สืบเนื่องจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคําร้องต่อประธานวุฒิสภา ว่า ปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับนายฮุน เซน ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับนายฮุน เซน จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม
แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคําร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกําหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะวิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทํา เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทําตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด
ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 (พล.ท.บุญสิน พาดกลาง) ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมติเอกฉันท์ รับคำร้องไว้พิจารณา และมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องอาจเข้าข่ายตามข้อกล่าวหา จึงมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ