xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนดูข่าวเก่า! สะพัดบริษัทน้ำมันยักษ์แย่งเค้กบ่อก๊าซเกาะกูดอุตลุด หรือเป็นต้นตอมะกันเอี่ยวศึกไทย-เขมร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


ขอบคุณภาพจาก  PTTEP
หลังสหรัฐฯเข้ามาแทรกแซงสงบศึกกับไทยและกัมพูชา ได้โหมกระพือคำถามเกี่ยวกับเหตุผลของอเมริกาในการเข้ามายุ่งเกี่ยวความขัดแย้งนี้ ในนั้นรวมถึงประเด็นทรัพยากรทางธรรมชาติอันมหาศาลในพื้นที่พิพาทเกาะกูด และจากการค้นข่าวเก่าของทาง mgronline พบว่าเมื่อไม่นานที่ผ่านมา รัฐบาลไทยโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพิ่งรื้อฟื้นการเจรจากับกัมพูชาเกี่ยวกับการสำรวจน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง ท่ามกลางการเฝ้ามองตาเป็นมันของบรรดาบริษัทต่างชาติ แถมยังมีรายงานด้วยว่าทางกัมพูชาได้มอบสัมปทานแก่บริษัทยักษ์ใหญ่ในนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รายงานข่าวของ worldoil.com ที่เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคม 2024 ระบุว่ารัฐบาลใหม่ของไทย ณ ขณะนั้น เตรียมเริ่มรื้อฟื้นการเจรจากับกัมพูชา ในการสำรวจบ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่ง ซึ่้งคาดหมายว่าน่าจะมีแหล่งสำรองทางธรรมชาติมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์ ในพื้นที่ที่ทั้ง 2 ประเทศเปิดศึกพิพาทกันมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970

เวิลด์ออยระบุนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้น ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนกันยายนปีดังกล่าว เผยว่าการสำรวจรวมเป็นหนึ่งในเป้าหมายเร่งด่วน 10 เป้าหมายของรัฐบาลของเธอ ในขณะที่ไทยหาทางเพิ่มแหล่งสำรองที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมถึงควบคุมค่าไฟและต้นทุนการนำเข้าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในรายงานระบุว่าประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 2 เห็นพ้องกันในช่วงต้นปี 2024 หารือกันเกี่ยวกับแนวทางการสำรวจที่ยุติธรรมในพื้นที่ 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งคาดหมายว่าจะมีก๊าซธรรมชาติอยู่ราวๆ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย สืบเนื่องจากประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางการทูตและการยอมเสียอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนเป็นประเด็นที่อ่อนไหวกับประชาชนทั้ง 2 ชาติ ดังนั้นการเจรจาจึงหยุดชะงักมาตั้งแต่ปี 2001 ครั้งที่ทั้ง 2 ประเทศเห็นพ้องกันว่าคำกล่าวอ้างด้านเขตแดนจำเป็นต้องพูดคุยหารือกันไปพร้อมกับการพัฒนาทรัพยากรร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม บางส่วนในไทยหวังว่าปัญหาเร่งด่วนของกำลังผลิตและคลังสำรองก๊าซที่ลดลงเรื่อยๆภายในประเทศ และแผนลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ท้ายที่สุดแล้วจะนำมาซึ่งการผ่าทางตัน เปิดทางให้ทั้ง 2 ประเทศ เริ่มการสำรวจทันทีแล้วค่อยคลี่คลายประเด็นพิพาทด้านเขตแดนในภายหลัง

"เราไม่จำเป็นต้องคลี่คลายความเห็นต่างด้านเขตแดน เราแค่ต้องการให้เพื่อนบ้านพูดคุยกันและพยายามใช้ทรัพยากร" worldoil.com รายงานอ้างคำกล่าว ณ ขณะนั้นของ พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีคลังของไทย "มันจะช่วยส่งเสริมความมั่นคง เช่นเดียวกับลดค่าสาธารณูปโภค"

ส่วน เพ็ญ โพนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชากล่าวในตอนนั้นว่า กัมพูชา ยังคงมุ่งมั่นพูดคุยในประเด็นนี้กับไทย "ถ้ารัฐบาลใหม่ของไทยพร้อม เราก็ยินดีที่จะเดินหน้าเจรจา"

worldoil.com รายงานว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่างนำเสนอโมเดลส่วนแบ่งรายได้ในพื้นที่ หรือที่เรียกว่า Overlapping Claims Area ที่ทาง พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีพลังงานของไทยบอกว่ามีทรัพยากรไม่น้อยกว่า 10 ล้านล้านบาท ในขณะที่ความสำเร็จของการเจรจาดูเหมือนจะเป็นประโยชน์กับบริษัทต่างๆอย่างเช่น เชฟรอน คอร์ป, เซลล์ พีเอลซี และปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ที่ได้สัมปทานมาต่อเนื่องย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1970 แไม่สามารถดำเนินการสำรวจใดๆได้ในพื้นที่พิพาท นอกจากนี้ยังมีข่าวด้วยว่า โคโนโคฟิลลิปส์ บริษัทน้ำมันเอกชนรายใหญ่ของสหรัฐฯ และ โททาลโททาลเอนเนอร์ยี่ส์ ได้สิทธิสัมปทานในกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น

สื่อมวลชนแห่งนี้อ้างความเห็นฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์บางส่วน แนะนำในตอนนั้นว่า ไทยควรหาทางคลี่คลายประเด็นพื้นที่กล่าวอ้างทับซ้อนก่อน เหมือนกับที่เคยทำกับมาเลเซีย แล้วค่อยพูดคุยหารือเกี่ยวกับการสำรวจทางพาณิชย์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ทางเพจ CSI LA เขียนแสดงความคิดเห็น ตั้งข้อสังกตว่า เชฟรอน, เอ็กซอนโมบิล และ โคโนโคฟิลลิปส์ ล้วนเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ที่เคยได้รับสัมปทานจากกัมพูชามาแล้วในอดีต และสันนิษฐานว่าสหรัฐฯอาจกำลังใช้โอกาสนี้เข้ามามีบทบาทในเบื้องหลังการเจรจาสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา เพื่อปิดเกมไม่ให้จีนเข้าแทรกแซง และดึงเอาสัมปทานมาสู่บริษัทตัวเอง

(ที่มา:เวิลด์ออย/mgronline/CSI LA)
กำลังโหลดความคิดเห็น