xs
xsm
sm
md
lg

ศาลรัฐธรรมนูญฟัน "พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน" ตัดสิทธิ 10 ปี โยกงบสภาฯ ลงพื้นที่ฐานเสียงเชียงราย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง และ สส.เชียงราย เขต 7 พรรคเพื่อไทย สิ้นสุดสมาชิกภาพ สส. ตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี และจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน หลัง สส.พรรคประชาชนยื่นถอดถอน กรณีโยกงบฯ 3 โครงการของสภาฯ ลงพื้นที่ตัวเอง

วันนี้ (1 ส.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และ สส.เชียงราย เขต 7 พรรคเพื่อไทย สิ้นสุดสมาชิกภาพ สส. และเพิกถอนเลือกตั้ง 10 ปี พร้อมจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน กรณีที่นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน และพวกรวม 121 คน ยื่นถอดถอนกรณีตั้งโครงการของบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร ที่ส่อไปในทางทุจริต เพราะนายพิเชษฐ์เห็นชอบการจัดทำโครงการ และให้เสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และโครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมือง ที่นายพิเชษฐ์มีส่วนโดยทางตรง และทางอ้อม ในการใช้งบประมาณปี 2568 และกรณีที่สำนักงานเลขาธิการสภาฯ มีคำขอเสนอทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในปีงบประมาณ 2569 ด้วยรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่นายพิเชษฐ์มีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม ในการใช้งบประมาณปี 2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง

โดยศาลเห็นว่า กรณีที่นายพิเชษฐ์อ้างว่า ได้มอบหมายให้นายจีรพงศ์ ที่ปรึกษาคณะทำงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ขณะนั้น จัดทำโครงการ นายพิเชษฐ์เพียงแค่มอบนโยบายให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และยังลงนามในบันทึกข้อความ แต่ไม่ได้เขียนข้อความว่าให้เสนอคำแปรญัตติ ไม่ได้ประทับตราคำว่า เห็นชอบ แต่เป็นบุคคลอื่นเขียนข้อความและประทับตราดังกล่าว ศาลเห็นว่า แม้นายพิเชษฐ์จะลงลายมือชื่อโดยไม่ได้เขียนข้อความ แต่ย่อมต้องพิจารณาข้อความบนเอกสารก่อน ประกอบกับเคยเป็นรองประธานสภาฯ มาแล้วตั้งแต่ปี 2566 การลงลายมือชื่อในเอกสารย่อมเห็นด้วยกับข้อความในเอกสาร หากไม่เห็นด้วยย่อมต้องสั่งให้แก้ไข จึงฟังได้ว่านายพิเชษฐ์เห็นชอบให้แปรญัตติทั้ง 3 โครงการ

ส่วนที่นายพิเชษฐ์อ้างว่า ไม่ได้มี หรือเข้าไปมีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย พบว่าทั้ง 3 โครงการ นายพิเชษฐ์มีส่วนในการพิจารณาดำเนินโครงการและมุ่งเน้นดำเนินการในพื้นที่เขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง ทำให้มีพฤติการณ์และการกระทำที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้ง 3 โครงการ และประเด็นการจัดทำโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2568-2570 แม้ไม่ได้ระบุพื้นที่ แต่จากคำเบิกความของพยาน ประกอบกับบันทึกคำเบิกความพยานที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายพิเชษฐ์ไม่ได้หักล้างให้การเป็นอย่างอื่น ดังนั้นจึงมีน้ำหนักรับฟังสอดคล้องกันว่า นายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้องเห็นชอบให้อนุมัติสั่งการให้เสนอหรือแปรญัตติโครงการทั้งสาม

ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเห็นว่านายพิเชษฐ์ดำรงตำแหน่งในสภาฯ 2 สถานะ คือ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง และ สส.เชียงราย เขต 7 จึงเชื่อได้ว่าย่อมใช้อำนาจให้คณะกรรมการแต่ละคนแต่ละคณะในเขตพื้นที่เลือกตั้งของผู้ถูกร้อง การดำเนินโครงการดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องมีเจตนานำงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน ไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียง หรือสร้างความนิยมให้กับผู้ถูกร้องในเขตเลือกตั้ง อันเป็นการกระทำที่ใช้สถานะรองประธานสภาฯ เพื่อประโยชน์ของตนเองในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้ง ถือได้ว่าผู้ถูกร้องทำการเสนอและแปรญัตติมีผลให้ผู้ถูกร้องมีส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จึงเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 144 วรรคสอง

สำหรับนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย เขต 7 พรรคเพื่อไทย จบปริญญาตรี คณะพืชสวนประดับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์การเกษตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปริญญาเอก คณะการบริหารและการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เคยเป็น สส. มาแล้วรวมครั้งนี้ 5 สมัย ได้แก่ 2544, 2550, 2554, 2562 และ 2566 อดีตรองประธานคนที่ 1 คณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น