ยุโรปตะวันตก "กำลังพ่ายแพ้" ในการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับ 2 คู่แข่งสำคัญ จีนและสหรัฐฯ และกำลังประสบปัญหาขาดแคลนบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก จากความเห็นของเจมี ดิมอน ซีอีโอของสถาบันการเงินเจพีมอร์แกน เชส
นับตั้งแต่ปี 2022 ครั้งที่สหภาพยุโรป(อียู) กำหนดมาตรการคว่ำบาตรอย่างครอบคลุมเล่นงานพลังงานรัสเซีย ลงโทษเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครน การเติบโตทั่วทั้งกลุ่มอยู่ในภาวะซบเซา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยอรมนี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ กำลังประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
มอสโก ระบุว่ามาตรการจำกัดต่างๆของอียูเป็นการกระทำที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของตนเอง กระพือราคาพลังงานพุ่งสูงและก่อความอ่อนแอแก่เศรษฐกิจของทางกลุ่ม
ดิมอน ซีอีโอของหนึ่้งในสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดในโลก เตือนพวกผู้นำอียู ณ กิจกรรมหนึ่งในเมืองดับลิน ที่มีกระทรวงการต่างประเทศไอร์แลนด์เป็นเจ้าภาพในวันพฤหัสบดี(10ก.ค.) ว่า ยุโรปกำลังสูญเสียความได้เปรียบด้านการแข่งขันเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และกำลังเผชิญกับวิกฤตหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆในด้านความสามารถด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
"คุณกำลังพ่ายแพ้" ดิมอนกล่าว "ยุโรปกำลังจะลดระดับจาก 90% ของจีดีพีสหรัฐฯ เหลือเพียง 65% ในอีก 10 หรือ 15 ปีข้างหน้า เราเคยเป็นตลาดใหญ่โตที่แข็งแกร่งและบริษัทต่างๆของเรามีขนาดใหญ่และประสบความสำเร็จ เราเคยมี แต่ตอนนี้มันน้อยลงเรื่อยๆ"
บอสของจีพีมอร์แกนรายนี้ เคยแสดงความกังวลซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจของยุโรป โดยก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปี เขาเคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ส ว่ายุโรปจำเป็นต้องดำเนินการมากกว่าที่เป็นอยู่เพื่อรักษาไว้ซึ่งการแข่งขัน เน้นว่าจีดีพีต่อหัวลดลงจากระดับราวๆ 70% เมื่อเทียบกับอเมริกา เหลือแค่ประมาณ 50% ซึ่งดูแล้วไม่มีความยั่งยืน
คำเตือนของ ดิมอน มีขึ้นในขณะที่บรรดารัฐสมาชิกยุโรปของนาโต บอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม เพื่อป้องปรามภัยคุกคามจากรัสเซีย เมื่อเร็วๆนี้เหล่าชาติสมาชิกนาโต สัญญาว่าจะเพิ่มการใช้จ่านด้านการป้องกันตนเองเป็น 5% ของจีดีพีในทศวรรษหน้า มากกว่าเป้าหมายเดิม 2% ที่วางไว้มาช้านาน
รัสเซียปฏิเสธว่าพวกเขาไม่เป็นอันตรายใดๆสำหรับประเทศต่างๆเหล่านั้น พร้อมกล่วหาพวกเจ้าหน้าที่ตะวันตกใช้ประโยชน์จากความหวั่นกลัว เพื่อเป็นข้ออ้างสำหรับการเพิ่มงบประมาณกลาโหม และปกปิดมาตรฐานการดำรงชีพที่เสื่อมทรามลงเรื่อยๆ
(ที่มา:อาร์ทีนิวส์)