ใครจะไปเชื่อว่า พลานุภาพของ “สีกากอล์ฟ” ที่มีจุดเริ่มต้นกับ “เจ้าคุณอาชว์-พระเทพวชิรปาโมกข์” เจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ และเจ้าคณะภาค 14-15 (ธรรมยุต) จะลุกลามบานปลายไปเกี่ยวข้องกับ “หลวงพี่ หลวงพ่อ และท่านเจ้าคุณ” อีกมากมายหลายรูปอย่างที่เห็นกันในปัจจุบันนี้
เจ้าคุณอาชว์ที่กลายเป็น “ทิดอาชว์” เนื่องเพราะพบว่า ไปมีสายสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวแบบลับๆ กับ “สีกากอล์ฟ” มีการนัดพบเพื่อร่วมหลับนอนกันตามโรงแรมต่างๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ สาเหตุที่ความฉาวโฉ่ปรากฏต่อสายตาสาธารณชนก็เพราะ “สีกากอล์ฟ” ข่มขู่เรียกเงินกว่า 7 ล้านบาท เพื่อที่จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ ทว่า เมื่อทำการไม่สำเร็จก็ได้มีการปล่อยคลิปแอบถ่ายออกมา 3 คลิป
สำหรับ “สีกากอล์ฟ” ซึ่งเวลานี้ได้รับสมญามากมาย เช่น “นารีพิฆาตพระ ดอกไม้สายบุญ เซียนพระตัวจริง” ฯลฯ นั้น เจ้าตัวยอมรับว่า มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ “ทิดอาชว์” จริง โดยมีการโอนเงินให้ใช้เรื่อยมา แต่ด้วยความที่ติดการพนันออนไลน์ ทำให้ต้องขายบ้านหมดทั้ง 3 หลัง ขายรถหรูทุกคันและปัจจุบันอยู่ในสภาพถังแตก
ที่น่าสนใจก็คือ “สีกากอล์ฟ” มีเป้าหมายในการทำมาหากินชัดเจนกับบรรดา “พระชั้นผู้ใหญ่” ที่มีอำนาจและมีเงิน โดยแสร้งไปทำบุญที่วัดนั้นๆ แล้วหาโอกาสเข้าตีสนิทด้วยการทำทีเป็นปรึกษาปัญหาชีวิต ก่อนที่จะพลีกายถวายตัวให้ พร้อมกับเก็บหลักฐานทุกอย่างเอาไว้แบล็คเมล์ ทั้งคลิป ทั้งภาพ ทั้งแชต
ที่ร้ายเสียยิ่งกว่าก็คือ บางรายเธอก็ปล่อยให้ “ท้องจริง” และมีลูกด้วยกัน เพื่อเรียกร้องค่าเลี้ยงดูบุตร ขณะที่บางรายก็ทำทีเป็น “ท้องทิพย์” เพื่อเรียกร้องทรัพย์สินอย่างในกรณีของ “ทิดอาชว์” เป็นต้น
ที่น่าตื่นตระหนกเสียยิ่งกว่าก็คือ หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจขยายผลการสืบสวนสอบสวนกับ “สีกากอล์ฟ” โดยนำโทรศัพท์มือถือของสีกากอล์ฟไปตรวจสอบนั้น พบข้อมูลหลักฐานสำคัญ เป็นภาพและคลิปวิดีโอ ที่สีกากอล์ฟถ่ายเก็บไว้ทั้งหมดในโทรศัพท์ 5 เครื่อง มีภาพและคลิปวิดีโอรวมกันกว่า 80,000 ภาพ หลักฐานรูปภาพและคลิปวิดีโอดังกล่าวเห็นถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่าง สีกากอล์ฟกับพระผู้ใหญ่จากวัดต่างๆ มากมายหลายราย
ทั้งนี้ จากการตรวจพิสูจน์ทราบตัวบุคคล หรือพระรูปต่างๆ ที่อยู่ในภาพและคลิปวิดีโอลับของสีกากอล์ฟ ทราบตัวบุคคลแล้ว 8 ราย ทั้งหมดเป็นพระชั้นผู้ใหญ่จำวัดอยู่ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก 2 ใน 8 ราย มีตำแหน่งเป็นถึงระดับเจ้าคณะจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง และในจำนวนพระผู้ใหญ่ทั้ง 8 รายพบหลักฐานการกระทำผิดถึงขั้นปาราชิกชัดเจนแล้ว 3 ราย
พระชั้นผู้ใหญ่ 3 รายก็คือ พระเทพวชิรธีราภรณ์ (ประดิษฐ์ ฐิตเมโธ ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธฉาย จ.สระบุรี
พระเทพวชิวธีรคุณ (นิกร มโนกโร ป.ธ.๙) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ
พระครูสิริวิริยธาดา (ณรินทร ฐิตวีริโย ป.ธ.๕) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร
“สีกากอล์ฟเลือกเหยื่อเฉพาะคนที่มีเงินและเข้าหาได้ง่าย ใครให้เงินก็เลือกคนนั้น จากนั้นจะหาวิธีใกล้ชิด แอบถ่ายภาพและคลิปวิดีโอลับแล้วส่งไปทางแอปพลิเคชันไลน์ข่มขู่รีดไถเงิน ดูจากแผนประทุษกรรมเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ สามารถเอาผิดได้อย่างแน่นอน เบื้องต้นพบว่าพระทุกรูปมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับสีกากอล์ฟ ยอดเงินมากพอสมควร แต่จะเป็นการทุจริตเงินวัดหรือไม่นั้นต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ
“สำหรับหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพระทั้ง 3 ราย กระทำผิดถึงขั้นปาราชิก เป็นคลิปวิดีโอลับที่ถูกบันทึกไว้ขณะกำลังร่วมหลับนอนกับสีกากอล์ฟหลายคลิป บางคลิปเป็นการร่วมเสพสังวาสทั้งที่ยังอยู่ในชุดผ้าเหลือง แต่ละคลิปยังเห็นใบหน้าพระทั้ง 3 รูปอย่างชัดเจน หลักฐานเหล่านี้ตำรวจ บก.ปปป. เตรียมประสานต่อให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เอาผิดทางวินัยสงฆ์กับพระทั้ง 3 รูปดังกล่าวต่อไป”พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้ข้อมูล
นอกจาก 3 รายข้างต้น ยังปรากฏชื่อพระระดับบิ๊กเบิ้มยู่ในคอกเลกชันของสีกากอล์ฟอีกหลายคน คนแรกคือ “พระราชรัตนสุธี (ขวัญรัก มหาวายาโม ป.ธ.๙ ,ดร.)” เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก และเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช - ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดใหญ่ หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร
คนที่สองคือ พระเทพพัชราภรณ์ (สมพงษ์ ฐิตวํโส ป.ธ.๔) เจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม จ.อยุธยา ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 1-2-3 (สายธรรมยุต)
คนที่สามคือ ศาสตราจารย์ ดร.พระมหาบุญเลิศ ช่วยธานี วัดใหม่ยายแป้น พระสงฆ์อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ ได้รับโปรดเกล้าฯเป็น “ศาสตราจารย์” ขณะอายุเพียง 46 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งตั้งอยู่ที่วัดไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
และเชื่อว่า จะปรากฏรายชื่อตามมาอีกไม่น้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนคณะสงฆ์ไทยครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
“พระราชธรรมนิเทศ” หรือ “พระพยอม กัลยาโณ” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจัยที่ทำให้พระบางรูปหลุดจากธรรมวินัยมาจาก “สามสอ” คือ สติ สตางค์ และสล็อต ที่กลายเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันในยุคนี้ และเป็นเหตุแห่งความเสื่อมไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้สร้างก็ต้องมีผู้ทำลาย ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป หากไม่มีคนล้มก็ต้องเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา เป็นธรรมดา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
โดยส่วนตัวตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นพระระดับเจ้าคณะจากวัดที่มีชื่อเสียงถึง 3 แห่งมีข่าวเสียหายอย่างพร้อมเพียงกัน ถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ด้าน “แพรรี่ ไพรวัลย์” หรือ “ไพรวัลย์ วรรณบุตร” อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความสุดจัดจ้านผ่านทางแฟนเพจเอาไว้ว่า “ชำระสะสางไปเลยค่ะ โยนผ้าขาวให้มันสึกกันซะ เหมือนที่พระเจ้าอโศกท่านทำ ดิฉันแล้วคนหนึ่งที่ไม่มีทางเสื่อมศรัทธาต่อศาสนา เพราะพฤติกรรมของพวกอลัชชี ธรรมจะรุ่งเรืองขึ้น เพราะอธรรมถูกข่มปราบ ศาสนาจะดีขึ้น ถ้าอลัชชีไม่อยู่ในผ้าเหลือง...”
นอกจากนี้ยังได้เสริมด้วยวาทะเด็ดที่กลายเป็นกระแสทันทีว่า “เป็นพระต้องไม่มี 2 ขี้ค่ะ คือขี้งก กับขี้เงี่ยX จบ”
ขณะที่ในเพจ “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” ก็มีประชาชนเข้าไปแสดงความคิดเห็นมากมาย โดยส่วนใหญ่อยากให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เร่งดำเนินการจัดการปัญหาดังกล่าว เพื่อเรียกคืนศรัทธาของศาสนาในประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น สำนักพุทธสนใจเรื่องสีกาก.บ้างเปล่า เน่าจะทั้งประเทศละ ลงมือทำไรบ้างสิ,สำนักพุทธทำอะไรอยู่ ชั้นเทพไปเยอะแล้วนะ 555,เรื่องเสื่อมเสียในวงการสงฆ์มีเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน มันถึงเวลาหรือยังที่สำนักพระพุทธศาสนาจะรณรงค์ให้ญาติโยมไม่ถวายเงินทองให้กับพระสงฆ์โดยตรง ให้ถวายในนามของวัดเท่านั้น เรื่องนี้ผมเคยเสนอมา 30 กว่าปีแล้วนะ เวลาพูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็จะมีแต่คนไม่พอใจ โดยเฉพาะพระไม่พอใจ แล้วคนที่หากินกับพระกับวัดก็ไม่พอใจโดยเฉพาะลูกศิษย์พระดังๆ ผมว่ามันถึงเวลาแล้วนะที่สำนักพระพุทธศาสนาควรจะรณรงค์ให้ญาติโยมไม่ถวายเงินทองให้กับพระสงฆ์โดยตรง ถ้าพระไม่มีเงินทองเป็นของตัวเองเรื่องเสื่อมเสียมันจะได้ลดลงบ้าง” ฯลฯ
คำถามมีอยู่ว่า แล้วจะจัดการกับปัญหาที่นับวันจะปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ นี้อย่างไร เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้อีก เพราะก่อนหน้านี้สดๆ ร้อนๆ ก็เพิ่งเกิดเหตุการณ์กรณี “ทิดแย้ม” หรืออดีตพระธรรมวชิรานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และเจ้าคณะภาค 14 กับ “สีกาเก็น” รวมถึงรายอื่นๆ อีกเป็นจำนวนไม่น้อย
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า ในทัศนะของผู้หญิงที่ชอบใช้เต้าไต่หรือใช้เรือนร่างในการทำมากินนั้น “พระ” เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับ “เสี่ย” หรือบรรดา “ป๋าๆ” ที่ชอบมีบ้านเล็กบ้านน้อย
หนึ่ง - “พระ” ไม่สามารถปลีกตัวมาหาได้สม่ำเสมอด้วยต้องคอยระมัดระวังตัว ทำให้สามารถจัดเวลา “สับราง” ได้อย่างสบายๆ กรณี “สีกากอล์ฟ” คือตัวอย่างชัดเจน ขณะที่บรรดา “ป๋าๆ” นั้น แม้จะต้องคอยหลบคอยซ่อนเมียเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ง่ายกว่าเยอะ
สอง - บรรดาหลวงพี่ หลวงพ่อหรือเจ้าคณะผู้ปกครองนั้น มี “เงินทอง” ที่ได้รับจากการอาศัยผ้าเหลืองเป็นครองกายจำนวนมากโข ทั้งทรัพย์สินที่สะสมในนาม “ส่วนตัว” ซึ่งสามารถนำมาออกมาใช้ได้ง่าย แถมบางรายก็อาจมียักยอกบัญชีของทางวัดออกมาได้อีกต่างหาก ทำให้บรรดา “สีกา” พร้อมเอาตัวเข้าแลก ทั้งเพื่อ “ตบทรัพย์” หรือสึกออกมาอยู่กินเป็นสามีก็มีให้เห็นไม่น้อย
แถมเงินทองก็หาได้ไม่ยาก เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือเศรษฐกิจไม่ดี พุทธศาสนิกชนคนใจบุญต่างก็ต้องหันหน้าเข้าหาวัด ทำบุญบ้าง ทำทานบ้าง มูบ้าง เพื่อความสบายใจ
ดังนั้น ที่ผ่านมาสังคมจึงมักเห็นบรรดาหลวงพี่หลวงพ่อทั้งหลายครองตนไม่สมกับเป็นผู้ที่บวชเรียนเพื่อละวางซึ่งกิเลส บางรายใช้จีวรราคาแพง บางรายมีเครื่องอำนวยความสะดวกเต็มกุฏิ บางรายก็สะสมรถยนต์ บางรายก็มุ่งหน้าไปหาสีกาถึงขั้นส่งเสียเลี้ยงดูเป็นเมียอย่างที่เห็น และจำนวนมากก็ใช้เงินทองเหล่านั้นเพื่อปูทางไปสู่ตำแหน่งเจ้าคณะปกครอง
สาม – สามารถ “แบล็คเมล์” ได้ง่าย เพราะพระที่มีตำแหน่งแห่งหนนั้น กลัวที่จะถูก “แฉ” ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจ่ายเมื่อเกิดกิเลสตัณหาทั้งโดยตั้งใจหรือเผลอพลาดไป
เรียกว่าเป็น “บุรุษในเครื่องแบบ” ที่ HOT สุดๆ ไม่แพ้อาชีพอื่นเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลด้วยว่า ในปัจจุบันวัดจำนวนไม่น้อยถูกใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ทั้งในส่วนของที่ดินวัดที่ปล่อยให้เช่าในการทำธุรกิจ หนักข้อกว่านั้นก็ถึงขั้นขายก็มีให้เห็นอย่างกรณีที่ธรณีสงฆ์สนามกอล์ฟอัลไพน์ ไม่นับรวมถึงกรณีให้สัมปทาน “ที่จอดรถ” เปิด “ร้านกาแฟ” ภายในวัด จัดสรรผลประโยชน์ให้กับเครือญาติเข้ามาทำมาหากินอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ขณะที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสบางรายก็ถึงขนาดปล่อยเงินกู้ และร่วมมือกับอาชญากรเพื่อใช้เป็น “แหล่งฟอกเงิน” ผ่านการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ อย่างไม่โปร่งใส โดยไร้ซึ่งระบบที่จะกำกับดูแลและตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการจัดการกับความไม่ชอบมาพากลข้างต้นนั้น หนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจมาจาก “สุชาติ ตันเจริญ” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับ “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)” โดยเสนอให้มีการจำแนกทรัพย์สินระหว่าง “ของวัด” และ “ของพระ” อย่างชัดเจน พร้อมจัดตั้งหน่วยงานตรวจสอบถาวร เพื่อป้องกันการปล่อยปละละเลยที่นำไปสู่วิกฤติซ้ำซาก รวมทั้งจะหารือกับมหาเถรสมาคม และผลักดันการตั้ง “ธนาคารพระพุทธศาสนา” เพื่อทำหน้าที่ดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินของศาสนาโดยเฉพาะ
กระนั้นก็ดี ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฆราวาสจะเข้าไปชำระสะสางหรือสังคายนาปัญหาในวงการสงฆ์ไทย แม้แต่ “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” ก็ทำอะไรได้ไม่มาก เพราะภารกิจเป็นเพียงองค์กรที่ทำหน้าที่ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้เท่านั้น หากแต่ต้องเป็นการจัดการกันเองขององค์กรผู้ปกครองคณะสงฆ์ไทย ซึ่งก็คือ “มหาเถรสมาคม(มส.)”
ดังนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า หลังเกิดความฉาวโฉ่ครั้งประวัติศาสตร์ มส.จัดการกับอลัชชีที่เข้ามาบวชเพื่อแสวงหาลาภยศสรรเสริญ เข้ามาเพื่อทำมาหากิน มิใช่เพื่อการศึกษาธรรมะเพื่อตัดกิเลสตัณหาและมุ่งหน้าสู่ความหลุดพ้นอย่างไร เพราะถ้าขืนยังปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมิได้มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมอะไรออกมา ผลกระทบก็คือความเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนาที่สถานการณ์ ณ วันนี้หนักข้อถึงขนาดที่หลายคนประกาศเลิกเข้าวัดทำบุญกันเลยทีเดียว