เห็นรายชื่อ “คณะรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร 2” ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้แล้ว คงไม่มีคำไหนเหมาะสมเท่ากับคำว่า นี่คือ “ครม.ต่างตอบแทน” ที่ “นายใหญ่จัดใหญ่” เพื่อตกรางวัลให้กับการที่กลุ่มก๊วนทางการเมืองต่างๆ ให้การสนับสนุน “ลูกอิ๊งค์” ได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยมีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าง 8 ตำแหน่งหลังการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลของ “พรรคภูมิใจไทย”
ทั้งนี้ ความน่าสนใจของ “ครม.ชุดนี้” ก็คือสามารถวิเคราะห์และแยกแยะออกมาได้เป็นฉากๆ ว่า ใครเป็นใคร ใครเป็นเด็กของใคร และทำไมถึงได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่ดังกล่าว
เริ่มจาก “พรรคเพื่อไทย” เองที่บรรดา “เด็กนาย” และ “เด็กบ้านจันทร์ส่องหล้า” ได้ดิบได้ดีกันอย่างถ้วนหน้า โดยเก้าอี้เบอร์ใหญ่ที่เพิ่งยึดมาจาก “พรรคภูมิใจไทย” คือ “รัฐมนตรีว่าการกระทรว
งมหาดไทย” โผค่อนข้างลงตัวกับชื่อของ “เสี่ยอ้วน-นายภูมิธรรม เวชชชัย” ด้วยเป็นคนที่ “นายใหญ่” ไว้ใจเป็นลำดับต้นๆ และที่ผ่านมา นายภูมิธรรมก็ทำหน้าที่ปกป้อง “นายกฯ อิ๊งค์” อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ดังนั้น จึงไม่น่าจะพลิกโผสำหรับเก้าอี้ มท.1 ของ “เสี่ยอ้วน” ที่จะนั่งควบพร้อมกับตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” ขณะที่เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยซึ่งเป็นโควตาของพรรคเพื่อไทย มีรายงานว่า “นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” จะมานั่ง
ส่วน “นายประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) โยกไปเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน” และ “นายจักรพงษ์ แสงมณี” อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แทน รวมถึงมีชื่อ “นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” โผล่มาในเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกด้วย
และที่ต้องจับตาไม่แพ้กันก็คือ การปรากฏชื่อ “ปลัดตุ๋ม-นายจตุพร บุรุษพัฒน์” ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ่อนั่งเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คนใหม่” แทน “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” ที่ผลงานไม่เข้าตา เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวเรื่อง “ปลัดตุ๋ม” จะมาเป็นรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน แต่ชื่ออยู่ในป้อมค่ายของ “เสี่ยเฮ้ง-นายสุชาติ ชมกลิ่น” แกนนำกลุ่ม 18 ของพรรครวมไทยสร้างชาติ
ทั้งนี้ ถ้า “ปลัดตุ๋ม” มาในโควตาของพรรคเพื่อไทย มิใช่พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ย่อมหมายความว่า “กลุ่มงูเห่าของเสี่ยเฮ้ง” มิได้รับการสนับสนุนจาก “บิ๊กทุนพลังงาน” อย่างที่พยายามนำเสนอ หากแต่เป็นการรวมกลุ่มเพื่อสร้างราคาเสียมากกว่า ขณะเดียวกัน ก็แสดงให้เห็นว่า “บิ๊กทุนพลังงาน” นั้นคือ “โซ่ข้อกลาง” ที่สามารถเชื่อมต่อกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอ้อมไปสนับสนุน “กลุ่มงูเห่าเสี่ยเฮ้ง”
ที่เด็ดที่สุดสำหรับ “พรรคเพื่อไทย” มีกระแสข่าวออกมาว่า “เต็งหนึ่ง” เก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” ปรากฏชื่อของ “รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล
แต่ตำแหน่งแห่งหนใดในปัจจุบันก็ไม่สำคัญเท่ากับนามสกุล “วงศ์สวัสดิ์” เพราะสถานะความเป็น ทายาทของ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือใบเบิกทางชั้นดีในการเข้าสู่ถนนสายการเมือง โดยก่อนหน้านี้ก็ปรากฏชื่อ “ยศชนัน” ให้เห็นเป็นระยะๆ
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้นปี 2568 ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดีอีเอส เสนอ ครม.แต่งตั้ง ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการบริหารจัดการและทรัพยากรบุคคล)ในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
หรือย้อนไปเมื่อปี 2561 ก็มีชื่อยศชนันโผล่มาเป็นแคนดิเดตประมุขพรรคคนใหม่ แต่สุดท้ายข่าวนี้ก็เงียบหายไป
นอกจากนั้น ในการเลือกตั้งปี 2557 “เชน” ยศชนัน ได้ลาออกจากราชการมาสมัคร สส.เชียงใหม่ เขต 3 และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ
ทว่า ทำไปทำมาทำท่าจะเป็นเพียงแค่แรงผลักดันจาก “พ่อแม่” เท่านั้น เพราะในช่วงท้ายๆ ชื่อของยศชนันเงียบฉี่ชนิดไม่มีลุ้น
ขณะที่ “พรรคกล้าธรรม” ของ “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า” ซึ่งถือเป็น “พรรคเพื่อไทยสาขา 2” ก็มีการสลับสับเปลี่ยนเก้าอี้ที่ตัว “หัวหน้าพรรค” คือ “มาดามแหม่ม-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ถูกจับซ้ายหันขวาหันตามอำเภอใจ โดยโผที่ออกมาคราวแรก “มาดามแหม่ม” ถูก “ลดชั้น” จากเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จนไม่เหลือสภาพ “ความเป็นหัวหน้าพรรค” ด้วยการถูกเด้งไปนั่งว่าการ “กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)” ก่อนที่โผล่าสุด หวยจะออกที่เก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ”
ขณะที่ “นายอรรถกร ศิริลัทธยากร” จะเข้ามารับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แทน ด้าน “นายอัครา พรหมเผ่า” ที่เพิ่งลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยมาอยู่กล้าธรรมเต็มตัว จะอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯตามเดิม
สำหรับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษเห็นทีจะหนีไม่พ้น “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่ล้างคราบไคลของการเป็น “พรรคคนดี” ในสายตาของ “แฟนคลับ” ให้มลายหายไปจนหมดสิ้น ถูกสังคมตราหน้าว่า “พายเรือให้โจรนั่ง” เพราะเหลือแต่นักการเมืองประเภท “เสือหิว เสือโหย” ในสังกัดของ “ลุงพี-นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” และ “เลขาฯ ขิง-นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์” กับ “งูเห่ากลุ่ม 18” ภายใต้การนำของ “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น”
แรกๆ ทุกคนเข้าใจว่า ถ้านางสาวแพทองธารไม่ลาออกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติจะถอนตัวแน่ โดยมีแกนนำคนสำคัญออกมาให้ข่าวไปในทำนองดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นนายจุติ ไกรฤกษ์ รองหัวหน้าพรรค หรือนายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค
ทว่า “ลุงพี” กลับให้สัมภาษณ์โยกโย้ไปว่า มติของพรรคให้ไปบอกนายกรัฐมนตรีว่าจะตัดสินใจอย่างไร ไม่ใช่มาบอกนักข่าว
จากนั้น “ลุงพี” และ “ติ่ง” ก็พยายามปั่นกระแสถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมรัฐบาลต่อไปเพื่อจัดการกับปัญหาพลังงานที่คาราคาซังอยู่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงตลอดระยะเวลา 3 ปีที่นายพีระพันธุ์นั่งทับเก้าอี้ตัวนี้ ไม่ได้มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ส่วนการสร้างภาพเรื่องถ้านางสาวแพทองธารไม่ออก พรรครวมไทยสร้างชาติจะถอนตัวก็เป็นเพียง “การเคาะกะลา” เพื่อสร้างแรงต่อรองทางการเมืองให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว เก้าอี้รัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติจึงยังคงเป็นตัวเดิม โดย “ลุงพี” นั่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อสร้างภาพให้เห็นว่า การที่ตัดสินใจสนับสนุน “นายกฯ แพทองธาร” ก็เพราะต้องการผลักดันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงานของประเทศให้สำเร็จลุล่วง เช่นเดียวกับ “เลขาฯ ขิง” ที่ยังคงนั่งเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม”
ขณะที่ “งูเห่ากลุ่ม 18” มีความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะผลักดันให้ “เสี่ยเฮ้ง” ที่ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขยับไปนั่งเก้าอี้ตัวโตและตัวเดิมคือ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน” หรือไม่ก็ขอเก้าอี้ “รัฐมนตรีช่วย” เพิ่มอีก 1 ตำแหน่งเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวน สส.ที่มีอยู่ในมือ
อย่างไรก็ดี เก้าอี้ที่น่าสนใจก็คือ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เพราะ “เต็งหนึ่ง” ที่เต็งเก้าอี้ตัวนี้มาตลอดก็คือ “บิ๊กเล็ก-พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์” ซึ่งสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า เป็น “เก้าอี้พิเศษ” ที่สังกัด “โควตากลาง” ที่พรรคเพื่อไทยประเคนให้แบบไม่มีข้อแม้หลังเกิดกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
เป็นเก้าอี้พิเศษที่ถูกกระชากออกจากมือ “บิ๊กอ้วน-นายภูมิธรรม เวชชยชัย”
เป็นเก้าอี้พิเศษที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลไม่สามารถสั่งซ้ายหันขวาหันได้ตามใจชอบ
เป็นเก้าอี้พิเศษที่มี “บิ๊กทหาร” ซึ่งหลายคน “คิดถึง” ยืนทะมึนเพื่อมิให้พรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรไม่ให้มายุ่มย่ามกับกองทัพ
กระนั้นก็ดี ดูเหมือนว่า มีความพยายามที่จะส่ง “บิ๊กทหารสีแดง” เข้ามาท้าชิงเก้าอี้ตัวนี้จากพรรคเพื่อไทยเช่นกัน โดยทำท่าจะมาแรงอย่างมีนัยสำคัญ นั่นก็คือ “พล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์” อดีต ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) และอดีตผู้ช่วยผบ.ทบ.
พล.อ.สุนัย เติบโตในสายงานรบพิเศษของกองทัพบก จนได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ทั้งในสายยุทธการและการฝึกกำลังพล ด้วยความเชี่ยวชาญด้านยุทธวิธีเฉพาะกิจ หลักสูตรกระโดดร่ม การต่อต้านการก่อการร้าย และการปฏิบัติการสนามในระดับสูง เป็นที่รู้จักในหมู่ทหารด้วยบุคลิก “สุขุม-เฉียบขาด” มีฉายา “บิ๊กน็อค” ที่สะท้อนภาพผู้นำสายเงียบที่ไว้ลายสนามจริง
ภายหลังเกษียณอายุราชการ พล.อ.สุนัยลงสมัครชิงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี ในนามพรรคเพื่อไทย แม้ไม่ได้รับชัยชนะ แต่สามารถคว้าอันดับรองชนะเลิศ สะท้อนถึงศักยภาพในการสร้างฐานเสียงและการปรับตัวสู่เวทีการเมืองพลเรือนได้อย่างน่าจับตา
ด้วยความใกล้ชิดกับแกนนำพรรคเพื่อไทย และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พล.อ.ณัฐพล ทำให้ชื่อขอพล.อ.สุนัยถูกเสนอเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ท่ามกลางกระแสการจัดทัพใหม่ของรัฐบาลแพทองธาร หลังเกิดความเปลี่ยนแปลงในพรรคร่วมรัฐบาล และกรณีปมปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
ที่เด็ดสะระตี่ไม่แพ้กันคือ “พรรคประชาธิปัตย์” ภายใต้การนำทัพของ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ผู้เป็นหัวหน้าพรรค และ “นายเดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรค เพราะมีทั้งขยับขยายไปนั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ขึ้น และรับโควตารัฐมนตรีช่วยมาอีก 1 ตำแหน่ง
แรกเริ่มเดิมทีมีกระแสข่าวออกมาว่า “สายตรงของนายเดชอิศม์” คือ “นายชัยชนะ เดชเดโช” นอนมาในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่ทำไปทำมามีแนวโน้มว่า อาจสะดุดจากคดีความฉาวโฉ่ ดังนั้น หวยจึงทำท่าจะไปออกที่ชื่อ “นายวุฒิพงษ์ นามบุตร” ส.ส.อุบลราชธานี 4 สมัย เข้ามาแทน
ทว่า การตัดสินใจเสวยสุขของ “ก๊วนเสี่ยต่อ-เดชอิศม์” ก็นำมาซึ่งความพินาศฉิบหายของพรรคประชาธิปัตย์ที่เลวร้ายหนักเข้าไปอีก เพราะมีผู้ตัดสินใจลาขาดจากสายเลือดแมลงสาบอยู่มากโข
ไม่นับรวมถึงบรรดา “ศิษย์เก่า” ที่ร่วมผสมโรงโจมตีอย่างหนักหน่วง
ทว่า ก็มิได้ระคายผิวของผู้บริหารพรรคยุคปัจจุบันที่ไม่อินังขังขอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
อีกหนึ่งพรรคที่เสียงยี้ดังระงมไม่แพ้พรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ภายใต้การนำของ “นายวราวุธ ศิลปอาชา” ที่ถ่ายทอดดีเอ็นเอ “ปลาไหลใส่เสก็ตช์” จากนายบรรหารผู้เป็นพ่อมาเต็มๆ ด้วยการทำตนเป็น “เด็กดี” ด้วยการประกาศยืนหยัดร่วมกับรัฐบาลแพทองธารเป็นพรรคแรกๆ
โดยเที่ยวนี้ ช่วงแรกมีข่าวว่า “ลูกท็อป” ซึ่งเดิมนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) จะไปนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่สุดท้ายกระแสก็เงียบกริบ และยังคงนั่งเก้าอี้ตัวเดิม
ที่น่าสนใจคือนายวราวุธให้สัมภาษณ์เองว่า ในการปรับครม.ครั้งนี้ พรรคชาติไทยพัฒนาจะได้โควตา “รัฐมนตรีช่วย” อีก 1 ตำแหน่ง แต่ยังไม่ทราบว่าจะเป็นกระทรวงไหน ซึ่งผู้ที่อยู่ในข่ายมีอยู่ 2 คนคือ “นายประภัตร โพธสุธน” เลขาธิการพรรค และ “นายอนุชา สะสมทรัพย์” รองหัวหน้าพรรค
ที่น่าหัวร่องอหายไม่แพ้กันคือ “พรรคไทยสร้างไทย” ที่เกิดขึ้นภายใต้การนำทัพของ “เจ๊หน่อย-สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” เพราะเที่ยวนี้ไม่มีใคร “เห็นหัว” เพราะมิได้กริ่งเกรงเสียงขู่ฟ่อๆ ของคุณหญิงเจ๊หน่อยเลยแม้แต่น้อย ด้วยพากันตบเท้าไปร่วมวงไพบูลย์ในคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย โดยปรากฏชื่อ “นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์” ลูกชายของ “นายฐากร ตัณฑสิทธิ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย จะมาเป็น “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ”
รวมทั้งปรากฏชื่อ “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม ที่เพิ่งย้ายจากพรรคไทยสร้างไทย เป็นหนึ่งในตัวเต็งที่มีโอกาสนั่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้ง น.อ.อนุดิษฐ์และนายฉันทวิชญ์ต่างกรอกประวัติตรวจสอบคุณสมบัติแล้วทั้งคู่
ความน่าสนใจของทั้งสองคนอยู่ตรงที่ว่า ทั้งน.อ.อนุดิษฐ์และนายฉันทวิชญ์นั้น เป็นโควตาของพรรคไทยสร้างไทยทั้งคู่ ทั้งๆ ที่ นอ.อนุดิษฐ์ย้ายไปร่วมงานกับพรรคกล้าธรรมเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ ร.อ.ธรรมนัสที่ระบุว่า น.อ.อนุดิษฐ์มีชื่อติดโผ ครม.นั้นเป็นโควตาพรรคไทยสร้างไทย
ทั้งนี้ โผล่าสุดปรากฏว่า คนที่เข้าป้ายก็คือนายฉันทวิชญ์ โดยเก้าอี้ดังกล่าวเป็นโควตากลางของพรรคเพื่อไทยที่จัดสรรให้กับกลุ่ม สส.ที่สนับสนุนรัฐบาล
เที่ยวนี้ บอกได้เลยว่า คุณหญิงเจ๊เจ็บหนักและถึงเวลาจะเลิกเล่นการเมืองได้แล้วกระมัง
และปิดท้ายกันที่ พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) ที่จะได้ 1 เก้าอี้ ชัดเจนแล้วว่า ตกเป็นของ “นายเทวัญ ลิปตพัลลภ” หัวหน้าพรรค โดยได้กรอกประวัติรอไว้เป็นที่เรียบร้อย