ยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่ากรณีพิพาทชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา จะจบลงเมื่อไหร่ และอย่างไร แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจทุกภาคส่วนและประชาชนทั้งสองฟากฝั่งเวลานี้ต่างว้าวุ่นกันไปหมด โดยเฉพาะหลัง “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งระงับการนำเข้าน้ำมันจากไทยตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2568 เป็นต้นมา เท่ากับเป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ส่งผลสะเทือนต่อกัมพูชาไม่น้อย
จนบัดนี้ ยังเป็นที่น่าฉงนอย่างยิ่งว่า ทั้งๆ ที่ กัมพูชา พึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันจากไทยเป็นหลัก แต่เหตุไฉนผู้นำกัมพูชา กลับด่วนตัดสินใจยิงปืนใส่หัวแม่เท้าของตนเอง ด้วยการออกมาตรการระงับนำเข้าน้ำมันจากไทย ที่สำคัญกัมพูชาไม่มีแหล่งผลิตน้ำมันในประเทศ และไม่มีถังสำรองน้ำมันระดับชาติเลย
ตัวเลขจากกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงานของไทย ระบุว่า ปี 2567 กัมพูชาพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันจากไทย ถึง 67.4% ของความต้องการรวม หรือประมาณ 6.62 ล้านลิตรต่อวัน โดยน้ำมันดีเซล เป็นเชื้อเพลิงหลักที่กัมพูชาต้องการมากที่สุด คิดเป็น 49.6% ของการนำเข้ารวม รองลงมาคือน้ำมันเบนซิน 43.8%
หากคิดปริมาณการบริโภครายเดือน กัมพูชาใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เดือนละ 294.65 ล้านลิตร โดยนำเข้าจากไทย 198.67 ล้านลิตรต่อเดือน แบ่งเป็น น้ำมันดีเซล 163.07 ล้านลิตร น้ำมันเบนซิน 92.74 ล้านลิตร โดยโรงกลั่นไทยออยล์ เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด คิดเป็น 64.9% ของปริมาณรวมที่ส่งไปกัมพูชา รองลงมาคือ โรงกลั่นไออาร์พีซี (IRPC)19.9% และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) 13.9%
สำหรับเส้นทางการขนส่ง ส่วนใหญ่ขนส่งผ่านทางเรือที่ท่าเรือมาบตาพุดและศรีราชา ส่วนการขนส่งทางบก ผ่านด่านชายแดนอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว และอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ทำให้ต้นทุนนำเข้าน้ำมันมีราคาถูกและสะดวกรวดเร็ว
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิชผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า กัมพูชานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากไทยเป็นหลัก ตามด้วยการนำเข้าจากเวียดนามและสิงคโปร์ เมื่อกัมพูชาระงับการนำเข้าน้ำมันจากไทย ก็อาจจะหันไปนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์และเวียดนามมากขึ้น แต่อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการทำคำสั่งซื้อ และต้นทุนค่าน้ำมันก็จะแพงขึ้นด้วย
ทางด้านศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ทางเลือกในการจัดหาพลังงานของกัมพูชาผ่านสื่อว่า กัมพูชาคงต้องหันไปซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์ที่เป็นศูนย์กลางการค้าน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งราคาสูงกว่าไทยแน่นอน เพราะมีค่าขนส่งเพิ่มขึ้น หรือถ้าจะซื้อน้ำมันจากมาเลเซีย ต้นทุนค่าขนส่งก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะที่การซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นไทย แค่ขนส่งผ่านด่านชายแดนเท่านั้น ส่วนเวียดนาม ไม่มีน้ำมันเพียงพอที่จะขายให้กัมพูชา
ดังนั้น ต้นทุนที่สูงขึ้นจากการนำเข้าพลังงานเปรียบเสมือนว่ากัมพูชาทำร้ายตัวเอง อีกทั้งกัมพูชาน่าจะสต็อกน้ำมันไว้ไม่น่าจะมีมาก เพราะปกตินำเข้าจากไทยได้ง่าย และการเก็บสต็อกน้ำมันมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ผลกระทบจากต้นทุนการนำเข้าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันในกัมพูชา โดยคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างน้อยลิตรละ 1 บาทกว่า ซึ่งจะกระทบค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้นเป็นลูกโซ่ ลามถึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภค การขนส่ง และธุรกิจภาคบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวในเมืองชายแดน เช่น เสียมเรียบ และบันเตียเมียนเจย
ตามคาดการณ์ ภาคการท่องเที่ยว จะเจ็บหนักเป็นอันดับต้น เพราะการขาดแคลนน้ำมันอากาศยาน ซึ่งกัมพูชานำเข้าจากไทย 71.62 ล้านลิตรต่อปี หรือ 0.20 ล้านลิตรต่อวัน
สำหรับภาคอุตสาหกรรม ที่ใช้น้ำมันเตาในกระบวนการผลิต จำนวน 23.34 ล้านลิตรต่อปี จะต้องหาแหล่งใหม่ที่มีต้นทุนสูงกว่า หรือเสี่ยงต้องหยุดการผลิต
ภาคขนส่งและโลจิสติกส์ ที่พึ่งพิงน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักที่กัมพูชานำเข้าจากไทยมากที่สุด 932.53 ล้านลิตรต่อปี จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
ส่วนภาคเกษตรกรรม ที่ใช้เครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องสูบน้ำ และระบบขนส่งผลผลิต จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
ทางเลือกของกัมพูชาในการลดการพึ่งพาไทย กัมพูชาอาจการขยายขีดความสามารถของบริษัทในประเทศ เช่น Kampuchea Tela และ Total Cambodge ให้เป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายหลักแทนการพึ่งพาผ่านด่านชายแดนไทย
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า คำสั่งระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซฯ จากไทย ของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา มีผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจไทยในกัมพูชา ดังนี้
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ OR ในไตรมาส 1/68 มีร้านกาแฟ Cafe Amazon 254 สาขา และร้านสะดวกซื้อ 71 สาขาอยู่ในกัมพูชา โดย OR ระบุว่า ธุรกิจในกัมพูชามีสัดส่วน 7.8% ของ EBITDA และ 11% ของกำไรก่อนหักรายการพิเศษ (ภายใต้สมมติฐานอัตราภาษีเงินได้ 20%) ในปี 2567
ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นไทยส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชาเช่นกัน แต่มีสัดส่วนเล็กน้อยในปี 2568 ที่ผ่านมา เช่น TOP ที่ 5-8%, IRPC ที่ 3% ส่วน SPRC และ PTTGC ไม่ถึง 1% ขณะที่ผลกระทบต่อ PTT ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ OR ควรจะรวม oil margin จากธุรกิจการค้าระหว่างประเทศผ่านบริษัทลูกในสิงคโปร์ด้วย และคาดว่าการส่งออก LNG และ LPG ไปยังกัมพูชามีสัดส่วนน้อยมาก เนื่องจากกัมพูชาไม่มีสถานีรับ-จ่ายก๊าซ LNG (การส่งออก ต้องมีถังบรรจุ ISO) ส่วนการส่งออก LPG จะต้องขนส่งด้วยรถบรรทุกเท่านั้น
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ เคยมีแผนจะเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาอีกครั้งเกี่ยวกับเขตแดนทางทะเลในพื้นที่ทับซ้อน (OCA, ใกล้กับอ่าวไทยและแอ่งเขมร) ในปี 2567 อย่างไรก็ตามเชื่อว่าโอกาสที่ทั้งสองประเทศจะทำข้อตกลงการพัฒนาร่วมด้านปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนดูจะลดน้อยลงหลังสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ตึงเครียดมากขึ้น
สำหรับผลกระทบในภาพรวม CGSI วิเคราะห์ ว่า ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดความกังวลว่าการค้าระหว่างสองประเทศอาจได้รับผลกระทบ โดยกัมพูชาเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 11 ของไทย ด้วยมูลค่าการส่งออกสินค้า 3.24 แสนล้านบาทในปี 2567 หรือคิดเป็น 3% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในปี 2567 ตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปกัมพูชา คือ เครื่องดื่ม, ชิ้นส่วนรถยนต์และรถจักรยานยนต์, เครื่องยนต์และเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 30% ของยอดส่งออกโดยรวมในปี 2567 ตามข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ โดยในปี 2567 ไทยเกินดุลการค้ากัมพูชา 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามข้อมูลของธปท. ทำให้กัมพูชากลายเป็นประเทศที่ไทยเกินดุลการค้ามากสุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ (ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ 3.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ)
นอกจากนี้ ไทยมีแรงงานชาวกัมพูชาเข้ามาทำงานประมาณ 1 ล้านคน ทั้งที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้องและผิดกฎหมาย ตามข้อมูลที่ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ Bangkok Post เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ดังนั้นหากแรงงานเหล่านี้เดินทางกลับประเทศตามที่อดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน เรียกร้อง อาจกระทบกับอุตสาหกรรมบางกลุ่ม เช่น รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ และประมง
ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวนั้น นักท่องเที่ยวจากกัมพูชา เดินทางมาไทย 553,000 คน ในปี 2567 ซึ่งคิดเป็นเพียง 1.6% ของสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติของไทยในปี 2567 จึงมองว่าผลกระทบต่อกลุ่มท่องเที่ยวน่าจะไม่มากนัก
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า สถานการณ์ไทยและกัมพูชาที่ตึงเครียดมากขึ้น จากการปิดด่านสำคัญอย่างด่านอรัญประเทศ บริษัทไทยอาจจะได้รับผลกระทบ และเชื่อว่าหุ้นในกลุ่มที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯศึกษานั้น บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG น่าจะได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องจากประมาณการว่ารายได้ 28% ในปี 2568 จะมาจากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในกัมพูชา ขณะที่ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BH) และ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) (MEGA) น่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะคาดว่ารายได้จากกัมพูชาจะมีสัดส่วนประมาณ 6% ของรายได้ในปี 2568
สำหรับธุรกิจของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC) มีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ 1.85mtpa ในกัมพูชา (เทียบกับกำลังการผลิตโดยรวมของ SCC อยู่ที่ 33.35mtpa ในปี 2567) ภายใต้ชื่อบริษัท Kampot Cement เปิดมาตั้งแต่ปี 48 ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน (JV 92.5%:7.5%) ซึ่ง SCC จัดตั้งกับหุ้นส่วนในท้องถิ่นคือ Khaou Chuly Group ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ประมาณการว่า SCC มีปริมาณการขายปูนซีเมนต์ในกัมพูชาเกือบ 2mtpa ในปี 2567
นอกจากนี้ บริษัทยังมีธุรกิจคอนกรีต, ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและโลจิสติกส์อยู่ในประเทศนี้ ขณะที่รายได้จากกิจการในกัมพูชามีสัดส่วน 2.4% ของรายได้รวมในปี 67 ดังนั้น หากตั้งสมมติฐานราคาปูนซีเมนต์เทาอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐ/ตันและ EBITDA margin ที่ 15-17% กำไรสุทธิในปี 2568 จะมาจากธุรกิจปูนซีเมนต์ในกัมพูชาประมาณ 515-580 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.5-7.4% ของประมาณการกำไรสุทธิในปี 68
ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าไทย-กัมพูชา อยู่ที่ 3.66 แสนล้านบาท โดยกัมพูชาเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 11 ของไทย มูลค่าการส่งออกที่ 3.23 แสนล้านบาท และในเดือน มกราคม-พฤษภาคม 2568 อยู่ลำดับที่ 9 ที่ 1.45 แสนล้านบาท ขณะที่การนำเข้าสินค้าปี 2567 กัมพูชาอยู่ลำดับที่ 27 มูลค่าการนำเข้า 4.3 หมื่นล้านบาท และในเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 อยู่ลำดับที่ 26 ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท กล่าวคือในปี 2567 ไทยเกินดุลการค้ากัมพูชาที่ 2.8 แสนล้านบาท
สำหรับ 5 อันดับสินค้าไทยส่งออกไปกัมพูชา ปี 2567 ประกอบด้วย 1.อัญมณีและเครื่องประดับ สัดส่วน 33% มูลค่า 1.06 แสนล้านบาท 2.น้ำมันสำเร็จรูป สัดส่วน 15.77% มูลค่า 5.1 หมื่นล้านบาท 3.น้ำตาลทราย สัดส่วน 5.16% มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท 4.เครื่องดื่ม สัดส่วน 4.6% มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท 5.เคมีภัณฑ์ สัดส่วน 3.04% มูลค่า 9.8 พันล้านบาท
ส่วน 5 อันดับสินค้ากัมพูชานำเข้ามาไทย ปี 2567 ได้แก่ 1.สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ สัดส่วน 24.9% มูลค่า 1.07 หมื่นล้านบาท 2.ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ สัดส่วน 21.57% มูลค่า 9.2 พันล้านบาท 3.เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ สัดส่วน 12.5% มูลค่า 5.3 พันล้านบาท 4.ลวดและสายเคเบิล สัดส่วน 8.42% มูลค่า 3.6 พันล้านบาท และ5. เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สัดส่วน 6.8% มูลค่า 2.9 พันล้านบาท
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช มองว่า ผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย - กัมพูชา ทั้งหมด จะกระทบต่อรายได้ของประเทศไทยจะหายไปวันละ 700-800 ล้านบาท กระทบกับ SMEs และพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดชายแดนในฝั่งของกัมพูชาจะเจอปัญหาสินค้าแพงขึ้นทันที 10-20%
ขณะเดียวกัน คาดว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันในกัมพูชาจะปรับสูงขึ้นและขาดแคลน ประชาชนต้องแบกรับต้นทุนที่แพงขึ้นอย่างน้อยหนึ่งเดือนจนกว่ารัฐบาลกัมพูชาจะนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นมาทดแทนได้ คาดว่าจะนำเข้าอาหารและเครื่องดื่มจากจีนและเวียดนาม น้ำมันจากสิงคโปร์และเวียดนาม ไฟฟ้าจากลาว อินเทอร์เน็ตจากมาเลเซีย ฮ่องกง และเวียดนาม ซึ่งสินค้าหลายชนิดจะมีต้นทุนที่แพงขึ้นกว่าการนำเข้าจากไทย
รศ.ดร.อัทธ์ ประเมินว่า จะเกิดกระแสการแบนสินค้าไทย ส่งผลกระทบระยะยาวต่อพฤติกรรมผู้บริโภคชาวกัมพูชา โดยส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้าไทยในกัมพูชาจะค่อย ๆ ลดลง แม้ว่าในอนาคตไทยและกัมพูชาจะกลับมาค้าขายกันตามเดิม แต่ส่วนแบ่งทางการตลาดน่าจะไม่กลับมาเท่าเดิมได้อีกแล้ว
ส่วนผู้ประกอบการไทยที่เคยลงทุนในกัมพูชา เช่น เสื้อผ้า สายไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาจลงทุนในกัมพูชาน้อยลง เพราะมองว่าเป็นตลาดและห่วงโซ่การผลิตที่มีความไม่แน่นอนสูงและอาจเกิดข้อพิพาทได้ทุกเมื่อในอนาคต
Khmertimes สื่อกัมพูชา รายงานว่า แอนโทนี กัลเลียโน รองประธานหอการค้าอเมริกันในกัมพูชา (AmCham) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท Cambodian Investment Management Holdings (CIM) มองว่า กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา กระทบต่อการค้าทวิภาคี โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย และอาจส่งผลกระทบลุกลามต่อห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค รวมถึงกระบวนการบูรณาการเศรษฐกิจของอาเซียนได้ เนื่องจากความล่าช้าและต้นทุนขนส่งที่สูงขึ้นบริเวณชายแดนจะส่งผลต่อการคมนาคมทางถนนตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอาเซียนที่เชื่อมโยงพม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
ขณะเดียวกัน ภาคการผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตรของกัมพูชายังต้องพึ่งพาวัตถุดิบทางการเกษตรจากไทยในระดับสูง เช่น ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบ และน้ำตาล หากความตึงเครียดยืดเยื้อ อุตสาหกรรมเหล่านี้อาจชะลอตัว และกระทบต่อกำหนดการจัดส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อทั่วโลก ส่วนภาคการบริการ โรงแรม และอาหาร ขณะนี้เริ่มได้รับผลกระทบ เนื่องจากการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักเดินทางที่ผ่านทางประเทศไทย ซึ่งถือเป็นทางสัญจรหลักชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
เป็นผลกระทบที่เจ็บจริง เจ็บลึกกันทั้งสองฝ่าย และต้องแสวงหาทางออกให้เร็วที่สุด